ค้นหาบล็อกนี้

วันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

พิธีศพของชาวพุทธธิเบต แร้งกินศพ (Tibetan Buddhist Sky Burial)





พิธีศพแบบท้องฟ้าของชาวพุทธธิเบต
(
Tibetan Buddhist Sky Burial)



 



                ที่ทิเบตและเนปาลมีอาชีพหนึ่งคือ
ด็อมเอ็มส์



                ด็อมเอ็มส์ ก็คล้ายๆ กับ
สัปเหร่อบ้านเราแหละ แต่การกระทำต่อศพของเขามันไม่เหมือนบ้านเราเท่านั้นเอง
บ้านเราตกแต่งศพ แต่ทิเบตเขานั้นต้องกระหน่ำศพ
 ใช้ฆ้อนที่ใหญ่และหนากระหน่ำศพใส่ร่างศพจนกระดูกแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
และเมื่อทุบจนถึงเวลาอันควร
ร่างศพที่เพิ่งตายหรือตายมานานแล้วจะกลายเป็นเศษเนื้อที่สัตว์ปีกขนาดใหญ่นั้นคืออีแร้งที่พวกด็อมเอ็มส์เลี้ยงไว้เป็นฝูง
เพื่อให้แร้งพวกนั้นกินศพให้หายไปอย่างรวดเร็ว



               
พวกด็อมเอ็มส์นี้เชี่ยวชาญเรื่องจัดการศพมากๆ
พวกเขามีเครื่องมือหลายชนิดในการหั่นเชือดเฉือนศพคนให้เป็นเศษเล็กเศษน้อยอย่างรวดเร็วอย่างน่าอัศจรรย์



                ภาพที่ท่านได้เห็นต่อไปนี้ความจริงทางการทิเบตและเนปาลเขาไม่อยากให้ถ่ายนะครับ
ออกจะห้ามด้วยซ้ำ เพราะทางการทิเบตค่อนข้างห่างภาพลักษณ์ประเทศพอสมควร
เพราะรายได้หลักของเขามาจากการท่องเที่ยวนี้



                ถ้าเป็นไทยมาเห็นละก็คงด่ายาวเลย
แต่เราคงด่ามั่วแหละ ลืมไปแล้วเหรอว่าสมัยก่อนเรากำจัดศพอย่างไร
ก็เอาแร้งไปให้กินศพที่วัดนะสิ
ที่บ้านผมสมัยก่อนก็เอาศพไปทิ้งลงในหนองน้ำให้แร้งกินก็มี  
อีกทั้งทิเบตจำเป็นต้องจัดงานศพแบบนี้ครับ เพราะ
ทิเบตเป็นเขาหัวโล้นไม่มีไม้มาให้เผา และที่ฝังไม่ได้
เพราะพื้นดินทิเบตเป็นภูเขาเนื้อแข็งการขุดหลุมให้ลึกพอนั้นยาก
อาจทำให้สัตว์ต่างๆมาคุ้ยเขี่ยได้ และเหตุทีเขาใช้อีแร้ง เพราะ ส่งไปสู่สวรรค์
โดยมีอีแร้งเป็นพาหะนำไป



                



               การทำศพแบบทิเบตที่เห็นนี้เขาเรียกว่า Sky Burial หรือการฝังแบบห่มด้วยท้องฟ้าและมีอีกแบบ แบบฝังในเจดีย์ และการเผา
ซึ่งสงวนไว้สำหรับเพื่อการให้เกียรติพระลามะตำแหน่งสูง ๆ เท่านั้น



                อันที่จริงแล้ว
พิธีกรรมการจัดการศพของชาวทิเบต มีอยู่ 3 วิธีหลัก ๆ ด้วยกัน คือ
  1. พิธีศพทางฟากฟ้า  ปัจจุบันกลาย
เป็นพิธีกรรมเฉพาะของทิเบตเท่านั้น โดยมีสถานที่จัดทั่วประเทศราว
1076 แห่ง ซึ่งเป็นวัดที่ตั้งอยู่บนภูเขาสูง
บุคคลที่มีความสำคัญต่อพิธีกรรมนี้ เรียกว่า
ด็อมเอ็มส์หรือ
สัปเหร่อนั่นเอง นอกจากดอมแด จะทำหน้าที่จัดการศพ และประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ แล้ว
เขายังมีหน้าที่ในการฝึกนกแร้งที่จะมา กินศพอีกด้วย จนอาจกล่าวว่า
การฝึกนกแร้งเลยกลายเป็นวัฒนธรรมเฉพาะของทิเบตเหมือนกัน



                2. พิธีเผาศพ  ไม่นิยมมากนักเพราะ ไม้เป็นของหายาก
และมีค่ามากสำหรับประเทศทิเบตที่มีภูมิประเทศ เป็นภูเขาสูง และอากาศหนาวเย็น
ดังนั้นการเผาจึงค่อนข้างเกินเอื้อมสำหรับประชาชนธรรมดา คนมีเงิน บุคคลสำคัญของ
ประเทศ หรือพระรูปสำคัญ ๆ เท่านั้นที่จะใช้วิธีนี้



                3.
พิธีศพทางน้ำ
เป็นพิธีของชาวบ้านที่ค่อนข้างยากจน ไม่มีค่าใช้จ่ายในการเดินทาง
หรือเคลื่อนย้ายศพไปทำพิธี ที่วัดบนยอดเขา
โดยชาวบ้านจะนำศพผู้ตายมาหั่นกันเองให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ
เพื่อโยนลงแม่น้ำอุทิศให้เป็นอาหาร ของปลา



                อย่างไรก็ตามราว 80% ของชาวทิเบตนิยมพิธีศพทางฟากฟ้า
ทั้งนี้เพราะนอกจากจะเป็นประเพณีที่ทำติดต่อกันมา นานนับ
1000 ปีแล้ว และยังมีความเชื่อกันว่า
ด้วยวิธีการนี้เท่านั้นที่จะสามารถส่งให้วิญญาณของผู้ตายให้ เกี่ยวพันใกล้ชิด
กับการบูชาพระพุทธเจ้าในพื้นที่เทือกเขาหิมาลัยได้
รวมทั้งเป็นการทำกุศลครั้งสุดท้ายของผู้ตาย อีกด้วย



                นอกจากสาเหตุดังกล่าวแล้ว
เหตุผลที่พิธีศพแบบนี้ยังคงมีการทำกันอยู่ แม้ทางรัฐบาลจีนจะพยายาม ห้ามปราม
รวมทั้งให้งบประมาณในการจัดสร้างเตาเผาศพแล้วก็ตาม เนื่องมาจาก
ข้อจำกัดในด้านภูมิประเทศและอากาศ ภูมิประเทศของทิเบตเกือบทั้งหมดเป็นเทือกเขาสูง
อากาศหนาวเย็น มีพื้นที่ราบน้อย เนื้อดินแข็ง การฝังศพ
จึงแทบเป็นไปไม่ได้เพราะไม่สามารถขุดดินให้ลึกพอ ในขณะที่ไม้ฟืน เป็นของหายาก
และมีค่ามาก ปัจจุบันการเผา จึงเป็นพิธีกรรมที่สงวนไว้สำหรับพระ คนสำคัญ
และคนรวยเท่านั้นแต่มีข้อยกเว้นไม่ใช้กับเด็กที่อายุต่ำกว่า
18 ปี หรือ สตรีตั้งกำลังตั้งครรภ์ หรือ คนที่ตายจากโรคติดต่อ
หรือ อุบัติเหตุ



                



ส่วนการกำเนิดของพิธีนี้ยังเป็นเรื่องลึกลับไม่มีใครรู้ประวัติว่าเริ่มเมื่อไร
แต่เป็นพิธีกรรมทางศาสนาพุทธทิเบตที่สำคัญมากชาวทิเบต
ทุกคนจะได้รับเชิญให้ไปเป็นพยานในการทำพิธีนี้โดยทั่วกันชาวทิเบตเชื่อว่าเมื่อคนตายแล้ว
ศพก็คือเปลือกที่ว่างเปล่าส่วนวิญญาณนั้นได้ออกจากร่างไปเกิดใหม่แล้ว
ส่วนศพก็จะให้เป็นอาหารแก่นกแร้งนั้นเชื่อกันว่า
นกแร้งนั้นมีฐานะเทียบเท่าเทพบุตรและเทพธิดาซึ่งเทพทั้งหลายเหล่านี้
จะนำเอาวิญญาณผู้ตายไปสู่สวรรค์ นอกจากนี้การให้แร้งกินยังถือว่าเป็นการให้ทาน
เพราะการให้อาหารด้วยศพนี้
  จะทำให้นกแร้งไม่ต้องไปจับสัตว์เล็ก ๆ เป็นอาหารไปได้หลายมื้อ
ทำให้ช่วยสัตว์เล็ก ๆ ไว้ได้หลายชีวิต โดยพิธีนี้เขาจะทิ้งศพไว้กลางแจ้ง
3 วัน พระลามะ จะอยู่ดูแลศพตลอด  พิธีนี้จะเริ่มต้นก่อนพระอาทิตย์ขึ้น



               
คราวนี้เรามาดูขั้นตอนของงานศพแบบทิเบตกัน



                ชาวทิเบตถือว่า
การเกิดเป็นเรื่องธรรมดา การตายยิ่งเป็นเรื่องธรรมดา การตายหมายถึง
การเกิดใหม่ของวิญญาณของคนๆนั้น เพราะเขาเชื่อว่าวิญญาณจะไม่มีวันตาย
ซึ่งก็จะขึ้นกับฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัวด้วย แต่ต้องไม่น้อยกว่า
2 วัน อนุญาตให้มีแขกมาในงานได้กี่คน
การเคลื่อนศพจะต้องออกทางทิศไหน ทางประตู หรือ หน้าต่าง
วิธีการทำศพนั้นไม่มีพิธีอาบนำศพ หรือแต่งตัวใหม่คือตอนเสียชีวิตใส่เสื้อผ้าชุดใด
ก็ใส่ชุดนั้น แล้วนำผู้ตายขึ้นไปนอนบนเตียงขนาดพอตัว และมีขาเตี้ยๆ ครอบครัวผู้ตาย
ก็จะเอา"ข่าต๋า" คือผ้าพันคอผืนยาว
2 ถึง 3 เมตรเศษสีขาวห่มร่างผู้ตาย แล้วขึงเชือก
เหนือร่างผู้ตายจากหัวไปเท้าเพื่อแขกที่มาในงาน
จะได้เอาข่าต๋าไปพาดบนเชือกที่ขึงนี้
ใครที่จะบริจาคช่วยงานศพก็ทำได้ตอนนี้ถ้าคนใดคนหนึ่งในครอบครัวตาย
เขาจะต้องรีบไปติดต่อโรงพยาบาลทิเบตพร้อมกับวันเดือนปีเกิด และวันเวลาที่
เสียชีวิตของผู้ตาย เพื่อให้หมอเอาข้อมูลไปคำนวณว่าจะเก็บศพเอาไว้กี่วัน
จากนั้นญาติก็นิมนต์พระซึ่งชาวทิเบตเรียกว่า " ลามะ" มาสวดที่บ้าน
ซึ่งจะเชิญมากี่องค์ก็ได้ แต่ต้องสวดตลอดระยะเวลาที่ไว้ศพ เช่นถ้าไว้ศพ
5 วัน ก็ต้องสวดตลอด 5 วัน จะหยุดพักบ้างก็ได้เพียงประมาณ 15 นาทีต่อช่วงเท่านั้นถ้าลามะมาองค์เดียว
ฆราวาสที่อ่านภาษาทิเบตได้จะช่วยสลับเวลาสวดแทน เมื่อสวดจบหนึ่งรอบ
ญาติจะนำน้ำชาผสมเนยจามรีไปวางใกล้ศพ เพื่อเสริฟให้แก่ผู้ตาย
และลามะเองก็พักซดน้ำชาไปในช่วงเวลานี้เหมือนกัน
เพราะชาวทิเบตคลั่งไคล้การดื่มน้ำชาเป็นชีวิตจิตใจ
การสวดจะเป็นไปอย่างนี้จนครบระยะเวลาการไว้ศพ
จากนั้นก็เคลื่อนศพไปทำพิธีฝังจะทำกันตอนเช้าตรู่ ตี
4 หรือตี 5 แต่ก่อนหน้าวันเคลื่อนศพ ผู้ทำหน้าที่ฝังศพ ซึ่งชาวทิเบต เรียกว่า
"อาจารย์"
จะมาบ้านผู้ตายครอบครัวผู้ตายต้องเตรียมเสื้อผ้าที่ดีที่สุดของผู้ตายมามอบให้อาจารย์พร้อมทั้งเงินค่าทำศพ
ส่วนใหญ่ประมาณร้อยถึงสองร้อยหยวน ส่วนเสื้อผ้าอาจารย์ก็จะให้ภรรยาของตนนำไปขาย



                



               ก่อนทำพิธีเคลื่อนศพ
อาจารย์ต้องทำเครื่องหมาย" สวัสดิกะ" ไว้บนพื้นตรงทางที่ศพ จะถูกขนออกจากบ้านไป
จากนั้นอาจารย์จะเอาเชือกผูกหัวเตียง จุดธูปบอกกล่าวผู้ตาย
จากนั้นก็ถือเชือกนำหน้าศพ บรรดาญาติจะช่วยกันแบกทั้งเตียงและศพ เดินตามเป็นขบวน
แล้ววนรอบเครื่องหมายสวัสดิกะ
3 รอบ
แล้วมุ่งหน้าไป " วัดต้าเจ้า" ซึ่งเป็นวัดที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่สุดของทิเบต
เมื่อขบวนแห่มาถึงวัด ก็เดินวนรอบวัด
3 รอบเป็นการให้ผูตายได้เคารพ สักการะองค์พระพุทธรูปเป็นครั้งสุดท้าย
จากนั้นก็เอาศพใส่ รถยนต์กระบะ เพื่อนำไป



                สถานที่สำหรับพิธีฝังศพ
ในสมัยก่อนไม่มีรถยนต์ อาจารย์ต้องเป็นคนแบกศพรวดเดียว ไปยังสถานที่ ฝังศพ
ซึ่งเป็นระยะทางที่ต้องขึ้นเขาไปกว่า
2 กิโลเมตร



                ดังนั้นอาจารย์
ส่วนใหญ่ต้องมีร่างกายแข็งแรง เมื่อขบวนแห่ และอาจารย์มาถึงสถานที่ฝังศพ
ซึ่งเป็นลานกว้างมีแผ่นหินปูลาดขนาด
2 X 2 เมตร



                แล้วอาจารย์
และญาติจะช่วยกันเปลื้องเสื้อผ้าของศพออก แล้วอาจารย์
ก็จะเอาเครื่องมือของตนออกมาวาง ประกอบด้วยมีดขนาดต่างๆ มีตั้งแต่อีโต้
จนถึงขนาดเล็กๆที่ใช้ในการแล่เนื้อประมาณ
15-16 เล่ม
อาจารย์เริ่มลงมือด้วยการเอามีดเล็กกรีดหน้าผากศพเป็นแนวยาวเหนือคิ้ว
แล้วถลกหนังศีรษะออกมากองไว้
จากนั้นผ่าท้องเอาเครื่องในออกมาแล้วแล่เนื้อออกจากกระดูก ใช้มีดอันใหญ่ทุบกระดูก
และสับเนื้อเป็นชิ้นๆและทุบกระโหลกศีรษะเอามันสมองออกมาผสมกับกระดูกใส่ในหลุมที่มีเลือดไหลไปรวมอยู่
จากนั้นเอา
"จามปา"
แป้งชนิดหนึ่งที่คนทิเบตนำมาทำอาหาร มาผสมคลุกเคล้าให้ดีกับเลือดกระดูกและสมอง
เพราะจะช่วยดูดซับเลือดให้เข้ากับกระดูก
ทำให้บริเวณนั้นแห้งสนิทไม่เหลือเศษเลือดทิ้งเอาไว้ ที่ต้องทำอย่างนี้เพราะ
อีแร้งชอบกินมันสมอง ไม่ชอบกินกระดูกจึงต้องเอามันสมอง
มาคลุกกับกระดูกให้อีแร้งกินกระดูกเข้าไปด้วย



                



                เมื่อเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว
อาจารย์ก็เรียกบรรดาอีแร้งที่อยู่เหนือบริเวณฝังศพขึ้นไปบนยอดเขา ให้ลงมากิน
เริ่มด้วยอาจารย์เอามันสมอง และเลือดให้อีแร้งกินก่อนแล้วค่อยตามด้วย
เนื้อที่สับไว้ เมื่ออีแร้งกินทุกอย่างหมด
แล้วญาติพี่น้องก็จะช่วยเผาสิ่งสุดท้ายที่เหลือคือเสื่อผ้าชุดที่ผู้ตายใส่
กับหนังศีรษะติดผม
แล้วทุกอย่างก็เป็นอันเสร็จสิ้นไม่ต้องมีการเก็บร่างกายของผู้ตายไว้เป็นที่ระลึกให้ต้องทำพิธีระลึกถึงกันทุกปีเพราะเขาเชื่อว่าในขณะที่เรากำลังร้องไห้เศร้าโศก
อยู่หน้าหลุมฝังศพผู้ตายนั้น เขาได้ไปจุติในร่างใหม่เรียบร้อยแล้ว



               
นกแร้งที่เป็นจ่าฝูงจะเป็นตัวที่มีประสบการณ์ และได้รับการฝึก มีลูกน้อง คือ
นกแร้งรุ่นใหม่ที่ยังไม่ได้อยู่ใน ระเบียบวินัย และมักแตกแถวยื้อแย่งกินศพ
ซึ่งจ่าฝูงต้องคอยจัดการให้อยู่ในวินัย ตามที่ตนได้เคยฝึกมากับดอมเด
ความสัมพันธ์ระหว่างดอมเดกับนกแร้งที่เป็นจ่าฝูง จึงเป็นความสัมพันธ์ที่สำคัญยิ่ง



                ด็อมเอ็มส์จะมีภาษาที่ใช้กับ
นกแร้งโดยเฉพาะ ทั้งภาษาพูด และภาษากาย
ที่จะคุ้นและสื่อกันได้ด้วยอาศัยความสัมพันธ์ที่ยาวนาน ดอมเด
มีความสามารถในการฝึกนกแร้งมากเท่าใด นกแร้งก็จะมีระเบียบวินัยมากเท่านั้น



               



สำหรับนกแร้งจ่าฝูงที่มีประสบการณ์
เมื่อด็อมเอ็มส์ให้ชิมเนื้อศพ หากศพใดใช้ยา หรือถูกยาพิษมา จะเป็นอันตราย
จ่าฝูงจะไม่กิน นกแร้งทั้งฝูงก็จะไม่กินศพนั้น ดอมแด
ก็จะกลับไปหาวิธีกำจัดศพวิธีอื่นแทนเช่น เผา กรณีหาก นกแร้งจ่าฝูงไม่มีประสบการณ์พอ
ก็อาจทำให้นกแร้งทั้งฝูงตายได้เหมือนกัน



                จากนั้น
จึงส่งเนื้อชิ้นแรกให้นกแร้งจ่าฝูงกิน
เมื่อจ่าฝูงอนุญาตนกแร้งทั้งฝูงก็จะรุมกันกินศพทั้งหมดโดยไม่เหลือชิ้นส่วนใด ๆ
ไว้เลย เสื้อผ้าของผู้ตายจะถูกนำไปเผา
ทั้งนี้เพื่อญาติพี่น้องจะไม่ต้องเก็บชิ้นส่วนใดของผู้ตายไว้ให้เกิด ความอาลัยอีก
ด้วยชาวทิเบตเชื่อว่า ในขณะที่พวกเขายังมัวเศร้าโศกเสียใจอยู่นั้น
ผู้ตายก็ไม่ได้รับรู้ใด ๆ แล้ว หรืออาจไปเกิดใหม่แล้วก็เป็นได้

7มารยาทที่ห้ามทำในต่างประเทศเพราะคุณอาจตายได้

ถ้าคุณมีโอกาสได้ไปเที่ยวต่างประเทศในวันหยุด
บางทีคุณอาจจำเป็นต้องเรียนสิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำจากวัฒนธรรมประเทศนั้นๆ ด้วย
ไม่งั้นคุณอาจตายโดยไม่รู้ตัว
เพราะดูหมิ่นเขาอย่างสุภาษิตไทยที่ว่าเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม
และวันนี้เรามาเรียนรู้กริยามารยาทที่ห้ามทำในต่างประเทศนั้นๆ ดีกว่า
หลายประเทศมี
วัฒนธรรมและความเชื่อในแบบของเขา มายาทบางอย่างของเรามีความหมายอีกอย่าง
แต่บ้านเขาความหมายไปโน้นเลย เราไม่ได้ตั้งใจลบหลู่เขานะ
อื้อๆ............ถ้าคุณไม่เชื่อละก็คุณลองทำกริยาพวกนี้ในประเทศนั้นๆ ดูเถอะนะ
จะได้รู้ว่าเรื่องที่ผมพูดจริงหรือไม่
!!(ที่มา http://www.cracked.com/article_16335_7-innocent-gestures-that-can-get-you-killed-overseas.html)+
BODY{ background:url(http://image.dek-d.com/15/604393/14413924);
background-attachment:fixed; } +



อันดับ 7 ห้ามแบมือต่อหน้าชาวกรีก
(
Extend Your Hand, Palm Outward in Greece)



               



สากล
:พอแล้วครับอิ่มแล้วครับ
(เป็นภาษากายประมาณว่าผมไม่เอา)



                กรีก: "นี่นายว่าหน้าฉันมีอุจจาระเรอะ!!"



ในประเทศกรีกการแสดงอากัปกิริยาโดยทำแผ่ฝ่ามือแบบนี้ต่อหน้าชาวกรีกนั้น
ถือว่าเป็นการดูถูกพวกเขาครับ มันที่มาคือ ในสมัยอาณาจักรไบเวนไทน์
Byzantine เมื่อใดที่อาชญากรทำผิดอาญาเขาจะจับคนนั้นขังบนกรงและแห่เป็นขบวนพาเหรดบนหลังม้าตามท้องถนน
และผู้คุมจะสีดำลงในหน้าของนักโทษเพื่อประจาน ถือว่าอับอายมากๆ
ดังนั้นเวลาชาวกรีกเห็นคุณทำมือแบบนี้ละก็
ชาวกรีกจะนึกว่าคุณกำลังดูถูกพวกเขาอย่างมากๆ
เพราะคุณเปรียบพวกเขาเหมือนนักโทษที่น่าอับอายนี้เอง



 



 



อันดับ 6
ห้ามยกนิ้วโป้งที่ประเทศตะวันออกกลาง (
Give the Thumbs-Up
In The Middle East)







สากล
:
"กู๊ด มันยอดเยี่ยม"



ตะวันออกกลาง:
"เดี๋ยวฉันจะเอานิ้วโป้งนายยัดรูตูดเอ็ง"



มันไม่เหมาะอย่างยิ่งที่ยกหัวนิ้วโป้งในตะวันออกกลางนี้
แม้ว่ายกนิ้วโป้งจะเป็นการแสดงอากิริยาสากลก็เถอะ
เราไม่รู้ที่มาการห้ามนี้มาจากที่ใด
แต่สัญลักษณ์การยกนิ้วหัวแม่มือนั้นเป็นสัญญาณที่เคยมากว่าพันปีมาแล้วในสมัยโรมัน
การต่อสู้ในสังเวียนเลือด(โคโลเซียมหรือเวทีประลอง) พวกนักต่อสู้(ซึ่งเป็นทาส
คนผิวดำ ยิว)ที่แพ้ในเวทีจะถูกตัดสินโดยเจ้าภาพว่าจะอยู่หรือตาย
โดยถ้าเจ้าภาพจะทำมือเอานิ้วหัวแม่มือขึ้น-ลง ถ้ายกนิ้วโป้งขึ้นจะรอด
แต่ถ้ายกหัวนิ้วมือลงนักสู้คนนั้นจะโดนฆ่า และแหล่งกำเนิดนี้ถูกนำไปเผยแพร่รอบๆ
อาณานิคมของโรมในที่สุด ซึ่งมันก็เป็นเพียงข้อสันนิษฐานเท่านั้น
ซึ่งถ้าเป็นจริงความหมายดั้งเดิมของมันคงจะเป็น
"อย่าฆ่านักโทษนะเว้ย เพราะตรูเป็นเจ้าชีวิตของพวกมัน"



 



อันดับ 5 มารยาทอาหารในไทย/ฟิลิปปินส์/จีน
(
Finish Your Meal In Thailand / The Philippines /
China)







สากล
:นี้เป็นอาหารอร่อย แต่ตอนนี้กระเพาะผมจุไม่ได้แล้วครับ
ขออภัยด้วยที่กินเหลือ



เอเชีย: มองด้วยสายตาไม่พอใจ......



เจ้าภาพ-เจ้าของบ้าน(ของประเทศทั้งสาม)นั้นให้ความสำคัญกับแขกเวลามาบ้านคุณ
พวกเขาจะจัดทำอาหารอย่างดีที่สุด โดยเลือกวัตถุดิบดีๆที่สุด
อย่างไรก็ตามราคาวัตถุดิบในการทำอาหารในประเทศนั้นค่อนข้างแพงทำให้เจ้าของบ้านทำอาหารให้พอเหมาะแก่ความต้องการต่อแขกเท่านั้น



 



อันดับ 4
ห้ามพบปะสนทนากับเพศตรงข้ามในซาอุดิอาระเบียโดยเปิดเผยต่อหน้าคนอื่น
(
Say "Hi" to a Member of the Opposite Sex in Saudi
Arabia)







สากล
: "สวัสดีค่ะ
ยินดีที่ได้รู้จัก
"



ซาอุฯ: "สวัสดี
ตอนนี้คุณมีความผิดฐานร่วมประเวณีผิดศิลธรรมของประเทศเราแล้วละ
ชื่อของคุณจะอยู่แฟ้มประวัติอาชญากรรมแน่นอน
"



ซาอุดิอาระเบียมี
กฎหมายที่เคร่งศาสนาเพื่อป้องกันการผิดศีลธรรมต่างๆ นาๆ
คุณอาจเห็นกฎหมายห้ามชายและหญิงมีชู้, ผู้หญิงต้องรักนวลสงวนตัว(มันก็ดีนี้น่า)
แต่ถ้าใครละเมิดอาจจะได้รับบทลงโทษที่แสนรุนแรงตามมาแน่นอน
หนึ่งในนั้นก็มีกฎหมายห้ามผู้หญิง(รวมถึงผู้หญิงต่างชาติ)จับมือทักทายผู้ชายต่อหน้าสาธารณชนหรือสมาคม
และผู้ชายใดๆ ที่ไม่ใช้สามีของเธอโดยปราศจากผู้ที่ไปเป็นเพื่อน
ซึ่งเคยมีตัวอย่างมาแล้วในเดือนกุมภาพันธ์
2008 ผู้หญิงสหรัฐคนหนึ่งที่ติดต่องานโดยสนทนาและจับมือกับผู้ชายในStarbucks และถูกการจับกุมและถึงขั้นขึ้นศาล



 



อันดับ 3 ห้ามให้ดอกไม้เลขคู่ในรัสเซีย
(
Give an Even Number of Flowers in Russia)



               



สากล: "ฉันชอบเสน่ห์ของเธอเหลือเกิน
มันเลยขอมอบดอกไม้ให้แทนความรู้สึกของเรา



รัสเซีย: "ตาย! ตาย! ตาย! อ๊าคคคคคคคคคคคค"



ในรัสเซียดอกไม้จำนวนเลขคู่นั้นใช้ในงานศพเท่านั้นนะครับ  และแน่นอนเกิดขึ้นเอาดอกไม้จำนวนคู่เป็นของขวัญให้คนรัสเซียละก็มีหวังได้เห็นหมัดแน่นอน
เพราะมันเหมือนกับเราแช่งให้เขาตายเร็วๆ
เวลาจะให้ดอกไม้แก่คนรัสเซียควรให้ดอกไม้เลขคี่ดีกว่าและคนรัสเซียก็ไม่ให้ความสำคัญแก่สีของดอกไม้มากนัก



                พูดถึงรัสเซีย
รัสเซียนี้มีประวัติวัฒนธรรมประเพณีที่ยาวนาน ถ้าเราศึกษาดีๆ
จะพบข้อที่ห้ามทำนรัสเซียอยู่เยอะ เช่น
ไม่ควรจับมือหรือหอมแก้มทักทายที่ประตูทางเข้าบ้าน,ห้ามปฏิเสธการดื่มอวยพร,เวลาไปเยี่ยมต้องเอาของที่ระลึกเป็นให้เจ้าภาพด้วย
เป็นต้น



 



อันดับ 2
ห้ามให้ของขวัญด้วยมือซ้ายข้างเดี่ยวในบางประเทศ (
Give a
Gift With Your Left Hand, Pretty Much Anywhere)







สากล
: ฉันมาแสดงความยินดีกับงานแต่งลูกสาวของคุณ เธอสวยมาก
ฉันขอมอบของขวัญให้แก่ลูกสาวของคุณ เพราะฉันรักคุณ
(ส่งด้วยมือซ้าย)



บางประเทศ: (อีกฝ่ายคิด)ฉันมาแสดงความยินดีกับงานแต่งลูกสาวของคุณ
เธอไร้ค่ามาก เหมือนอาเจียนของสุนัขที่ฉันไปเจอมา ฉันขอมอบของขวัญนี้ให้
เพราะฉันเกลียดคุณ(ว่ะ)



               
ในบางประเทศถือได้ว่ามือซ้ายเป็นมือที่สกปรก โสโครก
เพราะเรามักใช้มือซ้ายจับได้สิ่งที่ไม่ดีหลายอย่าง
เช่นเรามักใช่มือซ้ายในการชำระล้างสิ่งปฏิกูลเวลาเข้าส้วม(สำหรับคนถนัดขวานะ,ลูบหน้า,นอกจากนั้นในบางวัฒนธรรมในบางประเทศเชื่อว่าคนถนัดซ้ายคือสมุนของซาตาน
ส่วนคนถนัดขวาคือมนุษย์ ซึ่งในหลายประเทศที่ห้ามส่งของขวัญด้วยมือซ้ายก็มี
อินเดีย,แอฟริกา,
ศรีลังกา,ประเทศตะวันออกกลาง



พูดถึงการให้ของขวัญแก่คนต่างประเทศนี้ก็มีข้อความรู้อีกเยอะ
เช่น
  อย่าใช้กระดาษขาวมาห่อของขวัญแก่คนจีน,
อย่าให้ดอกไม้สีขาวแก่ชาวบังคลาเทศ ซึ่งมันอาจเป็นมารยาทเล็กๆ
ที่คุณอาจต้องรู้ไว้เวลาจะถูกมิตรกับคนต่างชาติ
เพราะคนต่างชาติไม่มองคุณเป็นคนขี่ม้าที่สี่ของบันทึกทางศาสนาของยิวแน่นอน(กษัตริย์ทั้งสี่ในศาสนาคริสต์ที่มอบของขวัญแก่พระเยซูคริสต์ในช่วงประสูติ)



 



อันดับ 1 ห้าม "OK" ที่บราซิล (Give
the "OK" Sign in Brazil)







สากล
:ตกลง!! โอเค



บราซิล:ฮายบราซิล!! ฉันคือ
ริชาร์ด นิกสัน (
Richard Nixon) ของ USA ฉันกำลังจะไปแตะผ่าหมากคุณแล้ว



บราซิล คือดินแดนแห่งสาวสวย หาดทรายขาว
และวัฒนธรรมเปิดกว้างเป็นมิตร แต่ถ้าคุณทำมือโอเคแก่ชาวบราซิลละก็
จากมิตรจะกลายเป็นศัตรูทันใด
!!



ในบราซิลการทำมือ
โอเคหรือตกลงนั้นไม่ควรนำมาใช้อย่างยิ่งเพราะการทำมือ
"ตกลง" เป็นการแสดงอากัปกิริยาเทียบเท่าได้กับ"ฟักยู" ในอเมริกา(โชว์นิ้วกลาง)



เราไม่รู้ว่าประวัติของการห้ามทำสัญญามือของบราซิลนี้มีที่มาอย่างไร
แต่มันก็เคยเกือบเป็นปัญหาประทศมาแล้วเมื่อ ปี 50
นิกสันมายืนอเมริกาและในขณะก้าวจากเครื่องบิน ฝูงชนรัวกล้องถ่ายรูปประชิดตัว
และขณะนิกสันกำลังก้าวไปขึ้นรถนั้นเอง
เขาก็ทำมือโอเคทักทายต่อหน้ากล้องและประธานาธิปตรีคนแรกของบราซิล
แน่นอนคนบราซิลก็นึกว่านิกสันจะเตะผ่าหมากคนทั้งบราซิล



สรุปก็คือการมาเยือนของนิกสันในบราซิลครั้งนี้ก็คือการถูกต้อนรับด้วยปัสสาวะ,อึ
ที่กระหนำปาใส่รถลีมูซีนที่ท่านนั่งอยู่ตลอดสองข้างทาง.......



              ในประเทศจีน ถ้าคุณกินหมดจนคำสุดท้าย
มันแปลว่าเขาให้อาหารคุณไม่พอกิน เพราะงั้น ไม่ว่าอาหารนั้นจะอร่อยแค่ไหน
คุณก็ต้องกินเหลือไว้อย่างน้อยคำหนึ่งเสมอ และในจีน ถ้าคุณกินไปคุยไป
(คุยในขณะที่อาหารเต็มปาก) และถึงกับเรอเมื่ออิ่มนั้น เป็นมารยาทดีสุด ๆ

วิธีหาเงินแบบหน้าด้านในประวัติศาสตร์

สิ่งที่จะอ่านต่อไปนี้
ขอเตือนว่าอย่าทำเป็นเยี่ยงอย่าง เพราะมันไม่เหมาะกับคนที่อ่อนแอหรอก
หรือเป็นวิธีที่หาเงินที่มนุษย์ทั่วไปเขาไม่ทำกัน แม้คุณจะติดหนี้เขาล้านหนึ่ง
คุณก็ไม่สามารถทำวิธี
6 วิธีต่อไปนี้ได้หรอก



อันดับ 6. เบลล์ กันเนส (Belle  Gunnes) ฆ่าเอาประกัน



 



เบลล์ กันเนส (เกิด ค.. 1859 ตาย ค..
1931??)



ฆาตกรสาวที่มีวิธีหาเงินแบบหน้าด้านๆ
ที่ปัจจุบันมักทำกัน นั้นคือ
ฆ่าเอาประกันที่มันช่างง่ายและได้เงินดีเสียด้วยสิ



เบลล์ กันเนส
อพยพจากประเทศนอร์เวย์มาสหรัฐอเมริกาใน
1881    และแต่งงานกับสามีจากนั้นก็ซื้อบ้าน
แต่อยู่ไม่ถึงหนึ่งปีบ้านก็ไฟไหม้ โชคดีมันได้รับประกันภัย
และเธอใช้เงินนั้นมาซื้อบ้านอีก ในปี
1898 บ้านก็โดนไฟไหม้อีกและได้เงินประกันอีก จากนั้นใน ปี 1900 บ้านเธอก็ไหม้อีก แถมคราวนี้สามีของเธอในกองเพลิงด้วย
แน่นอนเบลล์ก็ได้เงินประกันอื้อเลย



จากนั้น เบลล์ ก็ใช้เงินที่จะซื้อฟาร์มใน La
Porte, Indiana และต่อมาไม่นาน ในปี 1902 สามีคนที่สองก็ตายด้วยอุบัติเหตุเครื่องบดไส้กรอกหล่นใส่หัว (มันหล่นได้ไงวุ้ย) แม้จะน่าสงสัยแต่บริษัทประกันยินดีจ่ายให้เธอเป็นเงิน $3,000



จากนั้นเบลล์ก็ประกาศหาสามีในหนังสือพิมพ์
สองปีต่อมามีชายหลายคนที่เป็นสามีหายไปในฟาร์มเธอไปหลายราย
และเธอก็ได้เงินประกันจากการสามีหายซะด้วยสิ







ในตอนท้าย
28 เมษายน 1908 ผู้คนเกิดความสงสัยม่ายสาวคนนี้ เลยบุกเข้าฟาร์มเพื่อค้นบ้าน
ตำรวจที่ค้นพบร่างสี่ร่างในห้องใต้ดิน ผู้ใหญ่หนึ่ง และเด็กสาม
ที่คาดว่าเป็นลูกของเธอ จากนั้นก็ค้นพบร่างอีก
12 ร่าง ที่ระบุไม่ได้เป็นใครเพราะถูกตัดหัว
ส่วนตัวเบลล์นั้นเธอชิงฆ่าตัวตายก่อนโดยการเผาตนเองพร้อมบ้าน
แต่ผลชันสูตรศพของเธอนั้นหลายฝ่ายไม่เชื่อว่าศพนี้เป็นของเธอ
เพราะศพนั้นเตี้ยกว่าส่วนสูงของเบลล์ถึงหกฟุต ต่างกันกว่าสองนิ้ว
??



เธอทำเงินมากเท่าไหร่?



คะเนได้ว่าสาวคนนี้ทำเงินไป $ 30,000  จากสามีต่างๆผู้ซึ่งได้รับดูดในโดยโฆษณาหนังสือพิมพ์
บ้านถูกไฟไหม้
(ซึ่งไหม้ประจำ)เป็นครั้งละ $ 250,000 



 



อันดับ 5. แฮร์กับเบอร์ค (Hare & Burke William)  ดักฆ่าคนกลางทางแล้วเอาศพไปขายให้นักศึกษาแพทย์







               
แฮร์กับเบอร์ค (Hare & Burke William) 



คนสองคนทำอะไรก็ได้เพื่อเงิน...ในช่วงศตวรรษ 19 อังกฤษอยู่ในช่วงพัฒนาด้านการผ่าตัดเพื่อรักษา
ดังนั้นพวกเขาจำเป็นต้องศึกษาร่างกายให้ถี่ถ้วน
โดยใช้ร่างของคนตายมาชำแหละเพื่อทำการวิจัย
แต่การโดนจำกัดเรื่องกฎหมายเนื่องจากเขาอนุญาตให้ใช้ผู้ตายในคดีอาชญากรรมเท่านั้น
ดังนั้นทำให้หลายคนจึงแอบใช้วิธีขุดศพที่ตายใหม่ๆ จากหลุม แล้วนำมาขายให้แพทย์
ซึ่งได้เงินเสียด้วยสิ
(ประมาณ 7 ปอนด์ ต่อน้ำหนัก)



แต่สำหรับแฮร์กับเบอร์คเขามีวิธีหาเงินง่ายกว่าขุดศพมาขายอีก
ก็ฆ่าเหยื่อแล้วสวมรอยเป็นศพที่แอบขุดไง ตอนแรกทำกับคนที่บ้านเช่าของพวกเขา พอนานๆ
วันก็หันมาดักฆ่าเหยื่อตามท้องถนนยามค่ำคืนในปี 1827  เอาคนที่เร่ร่อน
ไม่หัวนอนปลายเท้า คนอ่อนแอ ไร้พิษสง คนแก่นี้แหละง่ายดี
จากนั้นก็มาสวมรอยว่าเป็นศพที่ขุดจากสุสาน หลอกขายให้แพทย์ที่รับซื้อ
เสร็จแล้วก็ได้ตังค์เข้ากระเป๋าแบบสบายอุรา



แฮร์กับเบอร์ค ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ กว่า18 เดือน มีเหยื่อที่ตายด้วยฝีมือของพวกเขา 16 คน  (บางเว็บ 30 คน) และผลสุดท้ายก็หยุดลงเมื่อแฮร์ทรยศหักหลังเขาเอาเรื่องนี้ไปบอกตำรวจเพื่อแลกกลับการอภัยโทษเขา
ส่งผลให้เบอร์คถูกลงโทษประหารชีวิตเพียงคนเดียว
แถมเชือกที่ใช้แขวนคอเขานั้นมันสั้นเกินไป เขาตายอย่างช้าๆ อย่างทรมาณ
จากนั้นร่างกายไร้วิญญาณของเขา ถูกส่งให้นักเรียนแพทย์เพื่อใช้ชำแหละศึกษา
สอดคล้องกับกฎอังกฤษในลงโทษอย่างเหน็บแนม



เขาทำเงินมากเท่าไหร่?



ในเวลาต่อมาได้มีการค้นพบสมุดบันทึกประจำวันเกี่ยวกับโจรกรรม
และรายการศพที่ลูกค้าต้องการไว้ จากการตรวจสอบพบว่า
ศพที่แพงที่สุดขายให้นักศึกษาแพทย์คือ
ศพ
วันที่
1กรกฎาคม ขายได้เงิน 10 ปอนด์ โดยไม่รวมคนที่เขาฆ่าทั้งหมด 30 คนนะเนี้ย



    



อันดับ 4. ผลประโยชน์ของพนักงานดับเพลิง







                มาร์คัส ลิซินิอัส แครซซัส (Marcus  Licinius 
Crassus)115?-53 ก่อนคริสตกาล



ในสมัยโรมัน มีนักการเมืองคนหนึ่งชื่อ มาร์คัส
ลิซินิอัส แครซซัสได้มีไอเดียบรรเจิดที่จะสร้างหน่วยดับเพลิงแรกรุ่นแรกของโลกขึ้น
โดยใช้กองทหารผสมของเขา



เรื่องทั้งหมดเริ่มขึ้นเมื่อ
แครซซัสได้สังเกตว่าสิ่งก่อสร้างในกรุงโรมเมืองหลวงของอิตาลีส่วนใหญ่ทำจากวัสดุที่ติดไฟง่ายและอาคารก็สูงเกินไป
และเมื่อไฟติดเมื่อใดละก็นับลองไฟลามทั่วกรุงโรมแน่ๆ ดังนั้นจึง แครซซัส
จึงซื้อทาสมา
500 คน
และรวมกับทหารเป็นหน่วยดับเพลิง



แต่พอถึงเวลาไฟไหม้กรุงโรมจริง แครซซัส
กลับไม่ยอมให้ทหารมาดับไฟ  ด้วยเหตุผลที่ว่าต้องมีเงินค่าดับไฟมาจ่ายก่อน
(ต่อรองในขณะที่ไฟไหม้ทั่วกรุงโรม)



"ดับในอาคารที่กำลังไหม้ไฟต้องจ่าย 30
Talents  (ค่าเงินของโรมัน)



"ดับไฟที่ดาดฟ้าต้องจ่าย 72
Talents!"



"20 Talents ถ้าไฟมันไหม้ติดเพื่อนบ้าน(โดนจ่ายแน่นอนเพราะบ้านของโรมันอยู่ติดกัน)"



"ถ้าจะให้วิ่งต้องเงินเพิ่ม10 Talents
"



แน่นอนประชาชนจำเป็นเองจ่ายเงินตามที่พวกแครซซัสเสนอ
และพวกเขายังหาเงินหน้าด้านแบบนี้หลายปี จนกระทั้งพวกลูกหนี้ทนไม่ไหวเลยไปเจรจากับ 
แครซซัสหัวหน้านักดำเพลิงดู จนสุดท้ายก็ตกลงกันไม่ได้ พวกลูกหนี้เลยจัดการ
แครซซัสด้วยวิธีสุดลึกล้ำด้วยการมัด และทรมาน
แล้วจับกรอกปากด้วยทองคำหลอมละลายซึ่งทำให้เขาตายอย่างทรมาน



 เขาทำเงินมากเท่าไหร่?



แครซซัสสะสมเงินที่ได้จากการต่อรองเรื่องดับไฟเท่ากับรายได้ประจำปีของคลังโรมัน
เป็นจำนวนเงินกว่า
7,100 หรือ 200 ล้านดอลลาร์ปัจจุบัน 



 



อันดับ 3. ทำให้ตนเองพิการแล้วเอาเงินประกัน







ผู้คนใน เเวนอล ฟลอริดา



                ผมว่ามันโครตลงทุนเลยนะเนี้ย



               ที่ townsfolk ของ เเวนนอล มีคดีที่แสนปวดหัวต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างมาก
เมื่อประชาชนพร้อมใจกันที่จะเสียแขนขาตัวเองเพื่อได้รับเงินประกันภัยตามที่ตกลงกันไว้กว่า
โดยมีคดีเกิดขึ้นในเมืองนี้กว่า
50 รายในเเวนอล (ประชากร 780 ของพื้นที่).  



                L.W Burdeshaw ตัวแทนบริษัทประกันภัยบอกว่า ในช่วง ค.. 1982  มีลูกค้าหลายรายยอมเสียแขนขาเพื่อเอาเงินประกัน
บางคนยอมเอาเลื่อยเลื่อยแขนซ้ายของเขาโดยอ้างว่าได้รับอุบัติเหตุขณะทำงาน
บางคนสูญเสียมือสองข้างโดนอ้างว่ายิงเหยี่ยวพลาด
(น่าเชื่อเนอะ)และบางคนใช้วิธีการตัดแขนตัดขาของเขาได้อย่างหลากหลายไม่ว่าจะเป็น
ปืนยาว หรือ เครื่องแทร็กเตอร์ ถือได้ว่าเป็นความพยายามจริงๆ
มากกว่าหน้าด้านนะเนี้ย



เขาทำมากเท่าไหร่?



ในเมืองนี้ไม่มีใครเลยที่ถูกว่ากระทำผิดฐานโกงเงินประกัน ซึ่ง 38 บริษัทยินยอมจ่ายเงินให้คนเหล่านี้
โดยไม่สงสัยว่ามันช่างเป็นอุบัติเหตุตลกแต่อย่างใด
ในเมื่อเอ็งกล้าทำก็กล้าจ่ายละฟ่ะ
แต่ถึงแม้จะมีการฟ้องร้องก็ยากจะให้ลูกขุนเชื่อว่าพวกเขายอมเสี่ยงยอมกล้าที่จะตัดแขนขาเพื่อเอาเงินประกัน



 



อันดับ 2 เอซ. เอซ โฮล์ม 







              
เอซ. เอซ โฮล์ม (H.H Holmes)



เมื่อหมอบวกกับวิปริตก็กลายเป็นส่วนผสมที่ลงตัวอย่างเหลือเชื่อ



H.H Holmes เป็นหมอที่จบจากมหาวิทยาลัยของมิชิแกน
ใน
1884 เขาเป็นผู้ชายน่ารัก, หล่อ, เป็นมิตร
และน่าหลงไหล เขาเคลื่อนย้ายสู่เมืองชิคาโก
ทำงานในเภสัชศาสตร์ถ้าคุณเป็นผู้ชายนิสัยดีคงหยุดแต่เพียงแค่นี้ แต่
หมอโฮล์มแค่นี้หรอก



ปี 1888 หมอโฮล์มทำการฆาตกรรมเจ้านายของเขา
และฮุบร้านของเจ้านายเพื่อเป็นใบเบิกทางการหาเงิน เขากว้านซื้อพื้นที่รอบๆ
นั้นเพื่อทำโรงแรมขนาดใหญ่
โรงแรมที่คุณเข้าไปแล้วไม่สามารถกลับออกไปได้ตลอดกาล



หมอโฮล์มจะต้อนรับแขกของเขาอย่างคุ้มค่าด้วยความตาย
ฆ่าโดยการทำให้หายใจไม่ออกอย่างช้าๆ ในโรงแรมที่แสนสนุกมีทั้ง หอลับ
, ประตูลับ, การลื่นไหลกำแพงห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ซ่อนเร้น ห้องทรมาน
ในห้องใต้ดินหมอโฮล์มยังมีเครื่องยืดร่างมนุษย์ที่แสนสนุก



 แต่ผู้คนจำนวนมากมายต้องเสียชีวิตลง
เพื่อที่หมอจะเอากระดูกเหยื่อไปขาย
และข้าวของเครื่องใช้เป็นของตนเอง







หลังจาก
1893 โรงแรมก็ขาดแคลนแขก 
หมอโฮล์มและผู้ช่วยเขาร่วมมือกัน ต้มตุ๋น
และทำการฆ่าผู้ช่วยเขาด้วยการเผาอำพรางเพื่อเรียกร้องเงินประกัน
และฆ่าเด็กสามคนซึ่งเป็นลูกของผู้ช่วยตาย ก่อนที่จะโดนจับและได้รับโทษประหาร



                ทำเขาทำมากเท่าไหร่?



มันยากเหลือเกินที่จะเดาว่าหมอโฮล์มได้เงินกี่บาทในการการฆ่าคน
เพราะเหยื่อเขามีมากเหลือเกินที่เสียชีวิตในโรงแรมเขา
และน่ากลัวเหลือเกินที่หมอโฮล์มเลือกที่จะเก็บความลับผลประโยชน์ทั้งหมดจนกระทั้งเรื่องทั้งหมดจบลงพร้อมกับการตายของเขา
แต่ในกรณีคดีฆ่าผู้ช่วยเขาหมอโฮล์มสารภาพว่าเขาได้เงินจากการประกัน
$10,000



 



1. คูหามรณะ







                ด็อกเตอร์มาร์เซล ปดิต (Dr  Marcel  Petiot) 1897 – 
1946



               ใครว่าสงครามมีแต่สูญเสีย
แต่สำหรับคนบางคนแล้วมันมีแต่ได้กับได้



มกราคม1942 เมื่อ นาซีครอบครองฝรั่งเศส ในสงครามโลกครั้งที่ 2 มันเป็นช่วงเวลาเก็บเกี่ยวผลประโยชน์โดยด็อกเตอร์มาร์เซล
ปดิต
Marcel  Petiot  หมอซึ่งย้ายสู่ชื่อเมืองหลวงของฝรั่งเศส
หมดที่ตั้งใจ๊ตั้งใจมาเพื่อรักษาและพยาบาลจิตใจชาวฝรั่งเศสโดยเฉพาะ
(จริงๆ นะ)



ขอบคุณประสบการณ์หมอมาร์เซล
เขาทำตามที่เขาตั้งใจจริงๆ แหละ นั้นคือเขาขายยาเสพย์ติด
และทำแท้งเถื่อน
....................ซึ่งในสงครามโลก2 ลูกค้าเยอะมากๆ



               แต่หมอมาร์เซลไม่หยุดแค่นั้นหรอก
เพราะเขาเห็นโอกาสของเขาที่จะทำให้เงินสดพิเศษจำนวนหนึ่งบนด้าน



เรื่องของเรื่องคือชาวยิวต้องการหนีตายจากพวกนาซี
แต่จะหนีไปไหนได้ละนาซีเต็มประเทศไปหมด
นั้นเองที่ทำให้หมอมาร์เซลมาเสนอว่าเขาสามารถช่วยชาวยิวลี้ภัยหลบหนีจากประเทศได้
แต่ต้องมีค่าธรรมเนียมหน่อยนะสัก
25,000  เหรียญเงินตราของฝรั่งเศสต่อหนึ่งบุคคล



ลูกค้าชาวยิวจำเป็นต้องจ่ายเพราะชีวิตสำคัญกว่าเงิน
แล้วหมอมาร์เซลก็บอกว่าให้พวกเขาเอาทรัพย์สินข้าวของเครื่องใช้ทั้งหมดมาที่บ้านหลังใหญ่เขานะ
เดี๋ยวเขาจะพาหนีไปต่างประเทศ







คุณอาจจะต้องการเพื่อหยุดการอ่านตอนนี้
ถ้าคุณเชื่อว่าเมื่อลูกค้าที่มาถึงบ้านของหมอมาร์เซล
คงหนีไปประเทศอาร์เจนตินาเรียบร้อย
(หมอมาร์เซลอ้างว่าเป็นจุดหมายปลายทาง) แต่ก่อนหนีคนไข้ของเขาต้องปลูกฝีฉีดยาก่อน
และ
...................



6 มีนาคม 1944 (นาซีโดนไล่ออกจากฝรั่งเศส) ตำรวจบุกบ้านของหมอมาร์เซลเขาพบกับเผาไหม้
จากนั้นก็พบกองปูนขาวที่ยังไม่ผสมน้ำมากมาย โดยในนั้นมีส่วนของร่างมนุษย์
ถูกหั่นเป็นชิ้นๆ และศพต่างๆไม่สามารถประกอบร่างคนๆได้
ตำรวจยังค้นพบห้องใต้ดินขนาดใหญ่ที่มากมายพอสำหรับเก็บซ่อนศพ
มีเตาสำหรับทำลายศพไร้หัว
, และอวัยวะของศพมากมาย



                หมอมาร์เซลที่ถูกการจับกุมต่อมา
ถูกประหารตัดหัว



                ทำเขาทำมากเท่าไหร่?



หมอมาร์เซลโกยเงินโดยไม่นับเฉพาะค่าธรรมเนียมใหญ่โตของเขา 
แค่ของมีค่าที่ติดตัวจากผู้ลี้ภัยชาวยิวก็ประมาณค่าไม่ได้แล้ว
แต่ถ้าให้ตีเป็นเงินละก็ประมาณ
200 ล้านชื่อเหรียญเงินตราของฝรั่งเศส



                ตอนที่หมอมาร์เซลทำการฆาตกรรมนาซีก็รู้เห็นนะแล้วแจ้งโดยตรงจากอาณาจักรไรต์ที่สามของฮิตเลอร์ด้วย
แต่ฮิตเลอร์ชอบใจเพราะหมอช่วยฆ่าชาวยิวให้แถมยังให้โชคแก่เขาอีก
โดยให้เหรียญตรากล้าหาญให้หมออีกด้วยนะจะบอกให้
(ถ้าเอาเหรียญนาซีนี้ไปประมูลขายคนบ้าสะสมในปัจจุบันนี้ละก็นับลองรวยล้นฟ้า)







Credit : http://my.dek-d.com/cammy/

5 สุดยอดพิธีศพ ที่น่าขนลุก สยองขวัญมากที่สุด จากรอบโลก

อันดับ 5 สุตที เผาตัวตายบูชายัญ (Sutee Self-Immolation)





Image Hosted by CompGamer Image Host



มันคืออะไรกันละเนี่ย?



การ
เผาตัวตายบูชายัญ (หรือสุที)
คือพิธีกรรมทางศาสนาของชาวฮินดูที่สืบทอดต่อๆกันมาในประเทศอินเดีย
โดยให้หญิงม่ายที่กำลังเศร้าโศกเสียใจทำใจสามีตนเองไม่ได้มานอนนั่งลงข้างๆ
สามีของเธอในกองฟืนที่ใช้ฌาปนกิจศพชองเขา
และเธอก็จะถูกเผาทั้งเป็นเคียงข้างศพสามี.......(เผาขณะเป็นๆนี้แหละ)



สุ ตที
ถูกสืบทอดต่อๆกันมาในประเทศอินเดียต่อเนื่องมาอีกหลายศตวรรษ
จนกระทั่งพิธีนี้ถูกจัดให้เป็นเรื่องผิดกฎหมาย ในช่วงการยึดอาณานิคมของอังกฤษในปี
1829 (แต่ทุกวันนี้พิธีนี้ยังทำอยู่ ทำให้มีสั่งห้ามอีกครั้งในปี 1956
และอีกครั้งในปี 1981 แต่น้อยคนจะสนตูจะทำสักอย่าง)



ก็
อย่างที่คุณๆจินตนาการกันแหละ เมื่อไฟมันเริ่มลาม
จึงเป็นธรรมดาที่บรรดาหญิงม่ายคิดว่าสงสัยเราตัดสินใจผิดทำพิธีบ้าๆ
แบบนี้ว่าแล้วพยายามที่จะวิ่งหนีสุดชีวิต
ซึ่งการทำแบบนี้ถือเป็นสิ่งที่อัปยศเป็นอย่างยิ่ง ทำให้ผู้คนที่ยืนมุงอยู่รอบๆ
ต้องช่วยกันแทงหญิงม่ายด้วยท่อนไม้ไผ่ แล้วมัดเธอเอาไว้เพื่อให้เธอถูกเผา



มี
กรณีหนึ่งในช่วงศตวรรษที่ 18
เมื่อแม่ม่ายหนีพ้นพวกคนที่คอยแทงและดับไฟได้ที่แม่น้ำใกล้ๆ
พวกอินเดียมุงจึงจับเธอยกใหญ่แล้วจับหักขาและแขนของเธอก่อนที่จะโยนเข้ากอง
ไฟใหม่





...ทำไมถึงทำแบบนี้ละ?





Image Hosted by CompGamer Image Host



เมื่อก่อน
หญิงม่ายในอินเดียเคยถูกจัดอยู่ในฐานะที่ต่ำ แสนต่ำในชนชั้นทางสังคม
ทุกอย่างเกี่ยวกับหญิงม่ายจะถูกตัดสินว่าไม่บริสุทธิ์ ทั้งการสัมผัส เสียง
และการเข้าร่วมในทุกสิ่งทุกจนเรียกได้ว่าน่ารังเกียจ
ดังนั้งจึงมีคำถามเกี่ยวกับหญิงม่ายว่า
พวกหล่อนควรทำอย่างไรเพื่อกู้ศักดิ์ศรีกลับคืนมา และก็มีใครบางคนตอบว่า
“ทำไมเธอไม่เผาตัวเธอเองในกองไฟซะล่ะ? ว่ายังไง?”
นอกจากนี้ก็ยังมีความเชื่ออีกว่าสามีและภรรยาจะกลับมาพบกันอีกครั้งหลังจากตายไปแล้วอีก
ทำให้เกิดพิธีดังกล่าวในที่สุด



อันดับ 4
การทำตนเองให้เป็นมัมมี่ของศาสนาพุทธ (Buddhist Self Mummification)





Image Hosted by CompGamer Image Host



มันคืออะไรกันละเนี่ย?





(ใคร
ดูอินุยาฉะคงร้อง เอ๋อ)
การทำตนเองให้เป็นมัมมี่นั้นเป็นพิธีเก่าแก่ที่สืบต่อกันมานานนมในประเทศ ญี่ปุ่น
จนกระทั้งถึงช่วงปลายปี 1800 และกลายเป็นเรื่องผิดกฎหมายจนกระทั่งช่วงต้นปี
1900



มัน ง่ายไหมทำมัมมี่แบบญี่ปุ่นนี้
เออ....ไม่ง่ายนะจะบอกให้ไม่ใช้แบบว่าคุณพันๆ
ตัวเองด้วยผ้าพันแผลแล้วรอมัจจุราชมารับ เป็นอันจบ
ขอบอกเลยว่ามันไม่ง่ายอย่างนั้น



การ ทำนะตอนแรกคุณจะต้องใช้เวลากว่า 2000
วันเพื่อเตรียมพร้อมเป็นมัมมี่ โดยใช้ วิธีทำแบบพระนักบวชในศาสนาพุทธคือ
อันดับแรกคุณจะต้องเอาไขมันทั้งหมดในตัวคุณออกไปให้หมด แล้ว
ควบคุมอาหารให้กินเฉพาะพวกถั่วและเมล็ดธัญพืช
และนักบวชคนนั้นจะไม่สามารถกินอย่างอื่นนอกจากนี้ไปอีก 1000 วัน



ต่อ จากนั้น
เราต้องรีดน้ำออกจากร่างกายของคุณออกไปให้มากที่สุด
เพราะเมื่อร่างกายของคุณมีน้ำเป็นส่วนประกอบเป็นส่วนมาก มันอาจทำให้คุณอึดอัดได้
นักบวชจะกินเพียงเปลือกไม้และรากไม้จากต้นสนนิดหน่อยเท่านั้น ต่อไปอีก 1000 วัน
จากนั้นพวกเขาจะดื่มชาพิเศษ (พิเศษในที่นี้คือ “ยาพิษที่รุนแรงสุดๆจนไม่น่าเชื่อ”)
ทำจากน้ำหล่อเลี้ยงของต้นอุรุชิแล้วถ้าชาที่กินทำให้เกิดอาการท้องร่วงจน
ท้องระเบิดหรืออาเจียน แสดงว่ามันได้ผล



แล้วคุณก็จะถูกขังในห้องหินเล็กๆ
แค่ใหญ่พอที่คุณจะนั่งท่าดอกบัว เสร็จเรียบร้อยแล้ว!
ตอนนี้นั่งรอความตายได้เลย…………………..





...ทำไมถึงมีพิธีแบบนี้ละ?





Image Hosted by CompGamer Image Host



เดา.....
คงเกิดมาจากความเชื่อในศาสนาพุทธที่ต้องการตรัสรู้
โดยคุณจะต้องแยกตัวออกจากโลกแห่งวัตถุโดยสิ้นเชิง เมื่อคุณตายแล้
แทนที่จะต้องกลับมาเกิดใหม่ คุณจะเป็นหนึ่งเดียวกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
นี่อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงเก็บตัวกว่า 1000 วันในห้องหิน
เพราะผู้คนย่อมมาคอยส่องดูข้างในเพื่อดูการเปลี่ยนแปลงเป็นมัมมี่ตลอดเวลา
จะทำให้นักบวชวอกแวกได้



อันดับ 3 พิธีศพแบบท้องฟ้าของชาวพุทธธิเบต (Tibetan
Buddhist Sky Burial)





Image Hosted by CompGamer Image Host



มันคืออะไร



เป็น
พิธีศพแบบท้องฟ้าของชาวธิเบตโดยชำแหละศพที่ได้รับการสืบทอดกันจาก สิงหาสับ เออ.....
ล้อเล่น ความจริงมันมาจากทิเบตต่างหากละ ศพจะถูกตัดออกเป็นชิ้นๆ
บนเทือกเขาสูงแล้วเหลือไว้ให้นกแร้ง ชาวทิเบตเรียกพิธีกรรมที่สืบทอดต่อกันมานี้ว่า
ย่าทอร์ ซึ่งหมายถึงให้ทานแก่นก และรวมทั้งขา, ชิ้นส่วนลำตัวและหัวด้วย
ร่างของศพจะถูกห่อด้วยผ้าขาว แล้วนำไปที่จัดพิธีศพ
ที่ซึ่งพระได้ล่อให้นกแร้งและนกกินซากสัตว์อื่นๆมารอแล้ว กลุ่มพระจะช่วยกันแกะห่อศพ
ขั้นตอนนี้ไม่ค่อยน่าพิสมัยสักเท่าไรดูจากที่ศพถูกทิ้งไว้สามวันมาแล้ว
(ตามธรรมเนียมชาวธิเบต)



พระ
หนึ่งรูปหรือมากกว่านั้นจะจัดเตรียมตัดศพด้วยขวาน เมื่อเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว
อาจารย์ก็เรียกบรรดาอีแร้งที่อยู่เหนือบริเวณฝังศพขึ้นไปบนยอดเขา ให้ลงมากิน
เริ่มด้วเอามันสมอง และเลือดให้อีแร้งกินก่อนแล้วค่อยตามด้วย เนื้อที่สับไว้
เมื่ออีแร้งกินทุกอย่างหมด
แล้วญาติพี่น้องก็จะช่วยเผาสิ่งสุดท้ายที่เหลือคือเสื่อผ้าชุดที่ผู้ตายใส่
กับหนังศีรษะติดผม
แล้วทุกอย่างก็เป็นอันเสร็จสิ้นไม่ต้องมีการเก็บร่างกายของผู้ตายไว้เป็นที่
ระลึกให้ต้องทำพิธีระลึกถึงกันทุกปีเพราะเขาเชื่อว่าในขณะที่เรากำลัง
ร้องไห้เศร้าโศก อยู่หน้าหลุมฝังศพผู้ตายนั้น
เขาได้ไปจุติในร่างใหม่เรียบร้อยแล้ว





...ทำไมถึงมีพิธีแบบนี้ละ?





Image Hosted by CompGamer Image Host



ส่วนการกำเนิดของพิธีนี้ยังเป็นเรื่องลึกลับไม่มีใครรู้ประวัติว่าเริ่ม
เมื่อไร แต่เป็นพิธีกรรมทางศานาพุทธทิเบตที่สำคัญมากชาวทิเบต
ซึ่งมองศพว่าเป็นเปลือกที่ว่างเปล่าส่วนวิญญาณนั้นได้ออกจากร่างไปเกิดใหม่ แล้ว
ส่วนศพก็จะให้เป็นอาหารแก่นกแร้งนั้นเชื่อกันว่า
นกแร้งนั้นมีฐานะเทียบเท่าเทพบุตรและเทพธิดาซึ่งเทพทั้งหลายเหล่านี้
จะนำเอาวิญญาณผู้ตายไปสู่สวรรค์ นอกจากนี้การให้แร้งกินยังถือว่าเป็นการให้ทาน
เพราะการให้อาหารด้วยศพนี้ จะทำให้นกแร้งไม่ต้องไปจับสัตว์เล็ก ๆ
เป็นอาหารไปได้หลายมื้อ ทำให้ช่วยสัตว์เล็ก ๆ
ไวได้หลายชีวิตด้วยนะเหอๆ



อันดับ 2 ตากศพให้แห้งแบบอบอริจิน (Aboriginal
Body Exposure)





Image Hosted by CompGamer Image Host



มันคืออะไร



เป็นพิธีศพของชาวเผ่าออสเตรเลีย
ชนเผ่าอะบอริจิน แต่หลายฝ่ายบอกว่าไม่จริงๆๆๆๆ ไม่มีพิธีแบบนี้นะ
ไม่มีหลักฐานนี้หว่า



อย่าง ไรก็ตามดูๆ ไปจะเหมือนพิธีศาสนาธรรมดามากกว่า
ในทิศเหนือโดยเฉพาะ โดยมีสองขั้นคือพิธีก็ทำศพให้แห้งตังหาก
เอาใบไม้กับพุ่มไม้มาทับ ให้ศพแห้งแบบแต้ดแต๋ แล้วก็เอากระะดูกออกจากศพแห้งแล้ว
มาทาสีแดง แล้วก็เอาศพมาแห่จากนั้นก็เอาไปใส่ไว้ในถ้ำ
จนกลายเป็นฝุ่นไปเองไม่ก็เอาไปใส่หลุม
นอกจากนี้มีรายงานว่ามีการกินศพด้วย.................กินศพญาติพี่น้องครับ ท่าน
กินเนื้อ กินน้ำหนองของศพที่ตายแล้ว
โอยท่าจะอร่อย





...ทำไมถึงมีพิธีแบบนี้ละ?





Image Hosted by CompGamer Image Host



เป็นความเชื่อของคนถิ่นเดิมและวัฒนธรรมที่ของเขา



อันดับ
1 ส่งศพท่องอวกาศ (Space Burial)





Image Hosted by CompGamer Image Host



มันคืออะไร



กวน
จริงๆ สำหรับพิธีศพอันดับหนึ่งมันสยองตรงไหนนี้
กับพิธีฝังศพที่สมัยใหม่ที่สมัยใหม่อย่างตรงไปตรงอย่างยิ่ง
คือการส่งอัฐิไปลอยเหนือบรรยากาศโลก หรือ Space Funeral
ซึ่งพิธีนี้เป็นความคิดของบริษัทจัดการศพ บาเตสวิลล์ คาสเก็ต
ซึ่งใหญ่ที่สุดในอเมริกา ออกไอเดียที่จะให้คนรวยแต่ไม่มีบุญที่อยากไปอวกาศ ไหนๆ
ก็ไปตอนมีชิวิตไม่ได้ก็ขอไปตอนตายก็ได้ฟ่ะ



ใช่!!
คุณสามารถทำพิธีฝังศพด้วยตัวเองของคุณ เว็บนี้เลยครับ http://
www.memorialspaceflights.com
ราคาก็ขึ้นอยู่กับต้องวิธีการส่งและระยะทางที่จะไปไกลขนาดไหน โดยราคาขั้นต่ำอยู่ที่
695$ เท่านั้นเอง(ล่าสุดมีลูกค้าใช้เงินกว่า 60,000 $
เพื่อไปดวงจันทร์!!



เมื่อวันเสาร์ (28 เม.ย.)
ได้ปล่อยจรวดที่เต็มไปด้วยอัฐิมนุษย์กว่า 200 คนขึ้นสู่ห้วงอวกาศ ซึ่ง
ในจำนวนนี้รวมถึงอัฐิของ เจมส์ ดูแฮน ดาราระดับตำนานที่รับบทเป็น มอนโกเมอรี
สก็อตต์ หรือ สก็อตตี้
หัวหน้าวิศวกรแห่งยานเอ็นเตอร์ไพรส์ในซีรีย์หนังอวกาศสุดอมตะเรื่อง สตาร์ เทร็ค
และนายกอร์ดอน คูเปอร์ อดีตนักบินอวกาศของยานเมอร์คิวรี
ซึ่งเป็นยานอวกาศบรรทุกมนุษย์รุ่นบุกเบิกขององค์การบริหารการบินและอวกาศ สหรัฐ
(นาซา)



รายงานระบุ ครอบครัวและเพื่อนฝูง รวมถึงสาวกของซีรีย์เรื่องสตาร์
เทร็คกว่า 500 คน
ได้ไปรวมตัวกันที่ทะเลทรายอันห่างไกลในรัฐนิวเม็กซิโกที่ใช้เป็นสถานที่ ปล่อยจรวด
ซึ่งบรรยากาศเต็มไปด้วยน้ำตา และรอยยิ้มของแฟนๆ ที่ทั้งอาลัย
และยินดีได้ส่งอัฐิของดาราผู้เป็นที่รักขึ้นอวกาศเสียที
หลังจากที่ต้องเลื่อนมาหลายครั้งนับแต่เสียชีวิตเมื่อปี 2548
โดยผู้ที่ต้องการส่งอัฐิขึ้นไปโคจรในอวกาศจะต้องเสียค่าใช้จ่ายคนละ 495
ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 17,000
บาท)ไม่แพงใช่ไหมละ





...ทำไมถึงมีพิธีแบบนี้ละ?





Image Hosted by CompGamer Image Host





ง่ายๆ
มันเป็นเรื่องของธุรกิจ ความฝัน
และเป็นเรื่องของคนรวยแบบคิดว่าไปสูงยิ่งขึ้นสวรรค์.................



เครดิต
: cammy

5 ฆาตกรโรคจิตสะท้านโลก

5 ฆาตกรโรคจิตสะท้านโลก
(ที่กฎหมายเอาผิดไม่ได้)



5 Horrific Serial Killers (Who Are Free Right
Now)




เรื่องราวต่อไปนี้เป็นเรื่องจริงของฆาตกรโรคจิตต่อเนื่องทั้งหลายที่ฆ่าคนอย่างโหดเหี้ยมเหลือจะกล่าว
คุณติดตามผลงานของผมมาคงคิดว่าป่าวนี้พวกเขาคงอยู่ในคุก
ชดใช้กรรมที่เขาก่อใช้เปล่าละ เปล่าเลย
กฎหมายนั้นไม่ได้ช่วยให้พวกเขาชดใช้กรรมในคุกเลย
กลับกลายเป็นว่าปล่อยให้พวกเขาเป็นอิสระ ออกจากคุก
และกลับมาสู่โลกภายนอกที่เราอยู่อีกครั้ง


เพราะอะไรกฎหมายถึงเอาผิดกับพวกเขาไม่ได้เหรอ หึๆ
ไปดูกัน


 

อันดับ5 นิโคเล
เซอร์มอนกลีฟ _(
Nikolai  Dzhumagaliev) 1953-??


               

http://en.wikipedia.org/wiki/Nikolai_Dzhumagaliev
>

เขาคือใคร? มันช่างเหมือนประวัติฮันนิบาลจริงๆ นิโคเล เซอร์มอนกลีฟ
ฆาตกรต่อเนื่องเจ้าของฉายา “ไอ้เขี้ยวเหล็ก” มันฆ่าคนเมื่อปี
1980 ในคาซัสสถาน (ตอนนั้นเป็นส่วนหนึ่งของประเทศโซเวียต)
โดยล่อสาวๆไปฆ่าและข่มขืนในป่า จากนั้นก็ใช้อาวุธแหลมๆ ทำการตัด ฟัน
มาชำแหละเนื้อของสาวๆ เอามากินสดๆ หรือเอามาปรุงอาหารที่บ้าน
แถมยังแจกเพื่อนที่หิวโหยได้ลิ้มลองอีก ตลอดช่วง 10 ปี
ผ่านมาคาดว่าเขาสังหารเหยื่อผู้หญิงถึง 50 – 100 ราย....



เขารอดได้ไง? นิโคเล
เซอร์มอนกลีฟ ถูกจับในเวลาต่อมา
ศาลตัดสินเขาว่าบ้าให้ไปบำบัดจิตที่โรงพยาบาล เขาหลบหนีในปี 1989
และถูกจับกลับมาเพื่อบำบัดรักษาทางจิตอีกในปี 1991 และถูกปล่อยตัวเป็นอิสระในปี
ค.ศ.1994 โดยไม่ดำเนินคดีทางกฎหมายอาญาอีกเลยหลังจากนั้น



ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน? รายงานล่าสุดบอกว่านิโคเล เซอร์มอนกลีฟ อาศัยอยู่กับญาติทางในยุโรปตะวันออก ไม่ระบุสถานทีชัดเจน
ตอนนี้เขาเป็นชายชราอายุประมาณ 55-56 ปี เพื่อนบ้านพูดถึงว่า
เขาเป็นชายที่น่าหลงไหล
พูดเก่งและเวลายิ้มจะเห็นฟันเหล็กทั้งปากน่าดูเป็นบ้าเลย



 



อันดับ4  คาร์ล่า โฮมอลก้า (Karla 
Homolka) 1987-??



               



เธอคือใคร? ฆาตกรต่อเนื่องชาวแคนาดาร่วมมือกับแฟนของเธอพอล
เบอร์นาร์โดข่มขืนน้องสาวแท้ๆ
ของตนเองและน้องสาวของเธอก็ตายในขณะอยู่ระหว่างวิชาผจญภัย
โอ้.......แต่แฟนของเธอยังไม่หยุดแต่เพียงเท่านั้น
เขายังบังคับให้เธอร่วมมือฆ่าเด็กสาววัยรุ่นอีก 2 ราย ไม่ได้ฆ่าเปล่าด้วยนะ
เขายังถ่ายวีดีโอเทปอัดเก็บไว้ด้วย รวมทุกริยาบทของเหยื่อเลยแหละ มีทั้งตอนขับถ่าย
ข่มขืน ทรมาน
และเซ็กต์วิตถาร(เช่นใช้ขวดไวท์ทิ่มทวารหนัก,ฉี่รดตัวเหยื่อ)ก่อนที่จะฆ่ารัดคอตายและเอาศพไปทิ้ง
ก่อนที่เรื่องจะจบลงเมื่อปี
1993 เมื่อคาร์ล่าทนแฟนตบตีไม่ไหวเลยออกมาแฉเรื่องราวสิ่งที่ทั้งสองทำทั้งหมดให้ตำรวจฟัง



เธอรอดได้ไง? พอดีเรื่องทั้งหมดแฟนของคนเป็นคนก่อขึ้นและบังคับเธอให้ทำ
แถมเธอยังสามารถเจรจาต่อรองในชั้นศาลโดยแลกโทษเบาเพื่อให้เธอเป็นพยานให้โทษแก่นายพอล
เบอร์นาร์โด ซึ่งมันก็ได้ผลแฟนของเธอโดนจำคุกตลอดชีวิต ส่วนเธอใช้สำหรับเวลา
12 ปีในคุก
และถูกปล่อยเป็นอิสระในปี
2005



ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน? ใน2007คาร์ล่าตัดสินใจเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนหน้าพาลูกชายอายุขวบกว่าๆ
อพยพไปประเทศใหม่ ซึ่งตอนนี้เธอสามารถอาศัยอยู่ที่ไหนก็ได้ในโลกใบนี้ไม่ว่าจะเป็น
คิวบา
, เกาะจาเมกา, ประเทศสาธารณรัฐเฮติ, สาธารณรัฐโดมินิกัน หรือ เปอร์โตริโก
คุณอาจจะคิดว่าว่าลาตินอเมริกาอาจไม่เหมาะสาวผมสีบลอนด์ละก็
ก็หันมามองเอเซียหน่อยก็ดีนะ



 



อันดับ3 ยูฮา วาลยัคคาล่า (Juha  Valjakkala)



               



http://en.wikipedia.org/wiki/Juha_Valjakkala
\



เขาคือใคร? 3กรกฎาคม 1988 ยูฮา วาลยัคคาล่าลูกครึ่งสวีเดน/ฟินแลนด์ อายุ22 ปี
คงคิดว่าชีวิตจริงจะเหมือนเกมส์
GTA เขาเลยขโมยจักรยานสองล้อ(ขโมยกระจอกจริงๆ) และเขาถูกพบเห็น
และโดนไล่ตามโดยผู้เป็นเจ้าของจักรยานสองล้อ สเตน นิลส์สัน (
Sten 
Nilsson)  และ
เฟร็ดดริค(
Fredrik)ลูกชายอายุ15 ปีของเขา สองพ่อลูกไล่ต้อนเขาจนมุมและแล้ว
หัวขโมยกระจอกนี้ก็เลือดขึ้นหน้าชักปืนเม่งยิงหัวสองพ่อลูกจนถึงแก่ความตาย
และเขาถูกการจับกุมสัปดาห์ต่อมา



เขารอดได้ไง? ศาลตัดสินให้ยูฮา
วาลยัคคาล่าเป็นบุคคลที่ป่วยทางจิต เขากลับเนื้อกลับตัว
และรักษาโรคจิตจนหายและอีก
19 ปีต่อมา
เขาก็ขึ้นศาลฟินแลนด์และลงโทษจำคุกตลอดชีวิตของเขา
แต่ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็ถูกปล่อยตัวออกจากคุกโดยมีทัณฑ์บนแก่เขาแบบง่ายๆ



ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน? มีคนพบเห็นเขาทำอาชีพคนขับรถแท็กซี่ในสแกนดิเนเวียทางดินแดนในยุโรปเหนือ
และรถแท็กซี่ของ
Niko ได้รับอนุญาตจากทางการด้วยนะ โดยไม่สนใจประวัติเขาใดๆ
ทั้งสิ้นซึ่งถ้าใครไปยุโรปเหนือก็สังเกตรถเท็กซี่กับคนขับหน่อยละ
บางทีเขาอาจไม่ทิ้งนิสัยเก่าในอดีตก็เป็นไปได้



 



อันดับ3 เปโดร อลองโซ โลเปซ (Pedro
Alonso Lopez)1949-??



 



เขาคือใคร? ฆาตกรต่อเนื่องที่ฆ่าคนเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ฆ่าคนไป 300 ศพ โดยเดินสายฆ่าคนสามประเทศคือ เปรู
โคลัมเบียในช่วงที่
70 ตอนต้นทศวรรษที่ 80  โดย
เหยื่อเกือบทั้งหมดเป็นเด็กที่ถูกข่มขืนอย่างรุนแรงก่อนที่จะรัดคอหรือบีบคอตายทั้งสิ้น
ซึ่งเขาถูกจับในขณะเขากำลังฆ่าเหยื่อพอดี



เขารอดได้ไง? เนื่องจากประเทศเอกวาดอร์ไม่มีโทษประหารชีวิตดังนั้นเปโดร
จึงได้โทษสูงสุดของประเทศนอกเหนือโทษประหารคือจำคุก 20
ปี(แน่ใจเรอะว่านี้คือโทษสูงสุด) และเนรเทศกลับไปดำเนินคดีต่อที่ โคลัมเบียในปี
1998 และถูกปล่อยตัวเป็นอิสระในปี 1999
จากนั้นเขาก็หายไป



ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน? มีความเป็นไปได้ว่า เขาอาจอยู่เอกวาดอร์
ซึ่งเป็นสถานที่ที่เขาฆ่าเหยื่อมากที่สุด(เฉลี่ยสามคนต่อสัปดาห์)ซึ่งเขาเคยรำพึงก่อนนี้ว่า
"ผมชอบเด็กผู้หญิงเอกวาดอร์ เธอสุภาพเรียบร้อยกว่า และ
ไร้เดียงสา หลอกง่าย” หรือไม่ก็จากรายงานล่าสุดของตำรวจในปี 2002
บอกว่าพบเห็นตัวเขาที่เมือง
Latino ประเทศอาร์เจนติน่า โดยปะปนอยู่กับผู้อพยพ
และมีแนวโน้มว่าเขาจะหนีไปอเมริกา เพื่อหาเหยื่อรายใหม่ก็เป็นไปได้



 



อันดับ 1 อิเซอิ ซากาวา (Issei Sagawa)1981-??



 



เขาคือใคร? ฆาตกรชาวญี่ปุ่น
ฆ่าข่มขืนแล้วกินศพนางรีนี่ ฮาร์ทธะเวลท์
โดยล่อเธอมาฆ่าที่ห้องพักเขาเขาเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 1981 และยิงหัวเธอด้วยปืน
จากนั้นก็ข่มขืนศพอย่างเมามันก่อนจะแล่เนื้อเธอ ชำแหละ บางส่วนไว้กิน
บางส่วนเก็บไว้ตู้เย็น โดยเขาทำอาหารจากเนื้อเธอหลายๆ อย่าง เช่น ซาซิมิ ซุปมิโซะ
เทมปุระ ฯลฯ โดยเขาบอกว่าเนื้อส่วนก้นนั้นอร่อยมาก



ขอบอกว่าสภาพศพเธอโหดร้ายมากไม่เชื่อดูเว็บ



http://images.google.co.th/images?hl=th&q=Issei%20Sagawa&um=1&ie=UTF-8&sa=N&tab=wi



เขารอดได้ไง? เขาถูกจับได้เนื่องจากมีคนเห็นเขาทิ้งศพเธอไว้ข้างทาง
แต่เนื่องจากเขาเป็นลูกคนรวย พ่อเลยมีเงินจ้างทนายเก่งๆ สู้คดี และเป็นผลสำเร็จ
อิเซอิถูกตัดสินว่าบ้า(มามุกแบบนี้ทุกราย)
เขาถูกส่งไปบำบัดจิตที่โรงพยาบาลบ้าฝรั่งเศส
และพ่อก็วิ่งเต้นให้เขาถูกส่งตัวรักษาทางจิตต่อที่ญี่ปุ่น และบำบัดทางจิตเพียง 1
ปีกับอีก 2 เดือน เขาก็ถูกปล่อยตัวเป็นอิสระ
โดยไม่ดำเนินคดีฐานฆ่าคนตายแต่อย่างใด



ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน? ปัจจุบันอิเซอิมีความสุขมีทั้งชื่อเสียงและเงินทองและเสพสุขในกรุงโตเกียว
ประเทศญี่ปุ่นอย่างเต็มที่
เพราะชาวญี่ปุ่นมองเขาว่าเป็นฮีโร่(ซะงั้น)ที่ได้แอ้มสาวฝรั่ง(แม้จะเป็นศพ)
ทำให้เขาได้งานหลายๆ อย่างตามมามากมายไม่ว่าจะเป็นนิยายที่เขาเอง 4 เล่ม คอล์มต่างๆ
ในนิตยสาร นักชิมอาหารตามร้านอาหารหรูๆ และมีโอกาสแสดงภาพยนตร์โป๊เรื่อง
Sisenjiyou no Aria หรือ The Bedroom และยังเป็นแรงบันดาลใจให้วง Stranglers แต่งเพลง la Folie(ปี
1991) เพลง “
Too Much Blood”ของวงก้องโลกอย่าง Rolling Stones อีกด้วย
และเขากลายเป็นฆาตกรกินคนรายเดียวของโลกที่ทำผิดแล้วไม่รับโทษทัณฑ์ใดๆ
ทั้งจากญี่ปุ่นและฝรั่งเศส



Credit : http://my.dek-d.com/cammy/

7 สุดยอด อาหารสุดโหดบนโลกใบนี้

7 สุดยอด อาหารสุดโหดบนโลกใบนี้
!!!








1. ปลาหยิงหยาง(Yin Yang Fish)















ปลา หยิงหยาง(Yin Yang Fish) เป็นอาหารจากประเทศจีน
วิธีทำคือจุ่มปลาเป็นใส่ลงไปในน้ำมัน และที่ทอดขณะมันมีชีวิตอยู่
โดยคนจีนเชื่อว่าการทานอาหารชนิดนี้ถือว่าเป็นเป็นยาชูกำลัง
คนครัวจะใช้ผ้าเย็นที่แช่เย็นจัดพันส่วนหัวจนถึงพุงปลา
และถือมันจากนั้นก็เอาส่วนหางของปลาจุ่มลงในน้ำมันร้อนเดือด
ก่อนที่จะไหลส่วนตัวลงทอดตามลำดับ เหลือแต่ส่วนหัวไว้(ทอดครึ่งตัว)
ซึ่งในจุดนี้ปลายังคงมีชีวิตอยู่ ซึ่งเป็นภาพที่หวาดเสียวมาก
เพราะปลาจะดิ้นตลอดเวลาด้วยความเจ็บปวด ถ้ามันพูดภาษาคนได้มันคงพูดว่า
"ร้อน....โว้ย" ซึ่งขั้นตอนนี้จะต้องใช้คีมคีบที่หัวปลาเอาไว้ไม่ให้ดิ้น
รอจนเนื้อปลาสุกเป็นสีเหลือง ก็ยกขึ้นนำมา วางบนจานแต่งและราดน้ำซอสเครื่องเคียง
ยกเสิร์ฟโดยครึ่งบนปลายังเป็นๆ อยู่ ปลายังคงอ้าปากพะงาบๆ ครีบยังกระดิกได้
แต่ครึ่งล่างทอดจนสุกสามารถกินได้ เป็นอันเสร็จพิธีสูตรลับอาหารโบราณ











2. อิคคีซึคุริ (Ikizukuri)















คุณ กำลังคิดว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีวัฒนธรรมที่ยาวนาน
มีประเพณีที่แสนงดงาม คุณอาจคิดผิดก็ได้เพราะความโหดร้ายมักแฝงรูปของอาหารเสมอ
โดยเฉพาะอาหารที่ชื่อ Ikizukuri แม้ชื่อออกจะน่ารัก แต่ทันที่คุณเห็นมัน โอ้!!
มันน่ากลัวเหลือเกิน จนพูดไม่ออก........



อิคคีซึคุริ(Ikizukuri)
มีความหมายว่า "ตระเตรียมขณะที่กำลังมีชีวิตอยู่" เป็นอาหารปลาที่ซึ่งแล่บางๆ
และบริโภคทันทีจากปลาซึ่งยังชีวิตอยู่



วิธีการทำก็เริ่มจากเลือกปลาสำหรับนำฆ่า
จากนั้นคนครัวที่มีความชำนาญมีดระดับเมตริกซ์ จะผ่าท้องปลาในขณะเป็นๆ เพื่อความสด
ลากไส้พุงออกบางส่วน จากนั้นเขาก็แล่เนื้อปลาเป็นชิ้นบางๆ จนเหลือแต่หัวกับก้าง
โดยไม่ฆ่ามัน จากนั้นก็จัดแต่งสวยงาม
ขั้นตอนทั้งหมดนี้ใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น และเสิร์ฟดั่งภาพ
เวลาคุณกินอาหารนี้คุณอาจได้ยินเสียงหัวใจของมันเต้นตุ้บๆ และเห็นจังหวะการเต้น
เหงือกปลายังคงการทำงาน พยายามหอบหาอากาศหายใจ
ตาของมันขยับไปมาเวลาคุณหยิบเนื้อของมันมากิน



และเหล่านั้นคือความสนุกของการกินอิคคีซึคุริ











3.
ออโต้ลัน ( Ortolan)
















นก ortolan เป็นนกป่าน่ารักตัวเล็กๆ ร้องเพลงไพเราะ
ตัวประมาณหกนิ้วยาว หนักประมาณสี่ออนซ์
แต่คนฝรั่งเศสเห็นนกนั้นเป็นอาหารมากกว่าสัตว์เลี้ยง
แถมวิธีทำนั้นก็แสนที่คนรักนกรับไม่ได้!! (อาหารชนิดนี้มีต้นกำเนิดมาจากพระที่ชื่อ
Jean Anthelme Brillat-Savarin
ได้คิดสูตรอาหารเพื่อซ่อนความตะกละของเขา)



เคล็ดลับการทำอาหารจาก Ortolan
(มีชื่อเต็มๆ คือ Ortolan au Mitterrand)
เริ่มจากการจับนกและทำให้ตามันบอดโดยใช้ที่ปากคีบ และใส่ในกรงแคบๆ เพื่อไม่ให้หนี
เก็บมันไว้แล้วขุนอาหารด้วยข้าวเดือย, องุ่น และพืชจำพวกFicus
จนมันมีขนาดตัวเกินประมาณ 4 เท่าของขนาดมันแล้ว ก็นำไปทรมานโดยจุ่มลวกเป็นๆ
กินทั้งตัว(ดูจากภาพจะเห็นว่าเขาผ่าท้องเพื่อล้างกระเพาะขี้ ไส้ของมัน)
เวลามันโดนน้ำร้อนลวกดิ้นทุรนทุรายก็อย่าสนใจมัน ปล่อยมันตายคาน้ำเดือดซะ
ก็จะได้อาหารที่โครตสด ที่ชื่อ Ortolan
กินกับเหล้าบรั่นดีเป็นอันเสร็จพิธี



แต่ความสนุกของอาหารชนิดนี้คือการที่คุณจะต้องกินมันทั้งตัว
และเมื่อนกอยู่ในปากของคุณคุณก็ต้องเคี้ยวเนื้อทั้งหมดไม่ว่าจงอยปาก หัวของมัน
ฟันที่กัดผ่านกระดูกเล็กๆ เสียงกร็อบๆ
และฉากสุดท้ายคือนกตัวนั้นได้ไปอยู่กระเพาะอาหารของคุณซะแล้ว
.......น่ากินซะที่ไหน











4. ฟัวกราส์ ( Foie Gras)















ฟัว กราส์(Foie Gras)
เป็นตับห่านหรือเป็ดที่ถูกเลี้ยงให้อ้วนจนตับมีขนาดใหญ่กว่าตับธรรมดาหลาย เท่า
มีลักษณะนุ่มมันและมีรสชาติอร่อยแทบละลายในปาก



แน่ นอนการทำที่ได้ฟัวกราส์
เขาคงไม่ไม่ปล่อยเป็ด(ห่าน)เดินเล่นสนุกสนานๆ แน่
พวกนั้นจะถูกขังในแดนหรรษาที่แคบและมืดจนไม่สามารถเดินไปไหนมาไหนได้
ชีวิตของมันแต่ละวันจะหมดไปกับการกินๆ เท่านั้น กินลูกเดียว
กินหัวอาหารพิเศษที่ทำให้ตับทำงานหนัก
และเมื่อห่านกินไม่ไหวคนเลี้ยงก็จับห่านบีบคอกรอกอาหารด้วยหลอด(ท่อ)ใส่
อาหารโดยไม่สนว่ามันจะกินอิ่มหรือเปล่า(วันละ 2-3 ครั้ง)















เมื่อได้ระยะที่ต้องการก็นำมาฆ่า
ผ่าท้องก็จะได้ตับห่านสีขาว (หรือตับเป็ด) ที่มีขนาดโตผิดปกติ
เราคงคิดว่าเรื่องเหล่านี้เป็นการ์ตูนละก็ ผิดถนัด และบทสรุปนั้นเลวร้ายกว่ามาก
ใช่ว่าห่านบางตัวจะสามารถผลิตฟัวกราส์ ได้ หลายตัวมักตายในขณะที่ขุน เช่นท้องแตกตาย
ตูดพัง ปากฉีก ฯลฯ มันอาจจะดูทารุณเล็กน้อย
แต่เพื่อปากของผุ้บริโภคและเงินมันก็ต้องทำแบบนี้แหละ











5. โดะโจ โทฟุ ( Dojo Tofu )















ใน ตะวันตกเรียกอก อาหารจานนี้ว่า "หม้อนรก"
แต่สำหรับญี่ปุ่นแล้วมันเป็นอาหารละเอียดอ่อนที่มีประวัติและตำนานมายาวนาน
ซึ่งเป็นอาหารเต้าหู้ต้นตำหรับของเมืองจุ่งหนานในประเทศจีนโบราณที่ทำจากปลา โดะโจ
(Dojo) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่งมีขนาดเล็กลักษณะคล้ายปลาไหล
ซึ่งนิยมกินกันในหมู่คนชั้นสูงและคนทำงาน เพราะมันได้พลัง (โดะโจ
โทฟุมีอีกชื่อหนึ่งคือหม้อไฟยานางิกาวะ
ซึ่งที่มาของชื่อนั้นมาจากร้านอาหารที่ทำอาหารชนิดนี้ในสมัยโอโดะนั้นเอง)
เคล็ดลับในการทำก็คล้ายๆ กับต้มเปรตบ้านเราแหละ เริ่มจากต้มน้ำซุปให้เดือด
และใส่เต้าหู้ก้อนใหญ่ๆ และเอาปลาโดะโจตัวเป็นๆ หลายๆ ตัว ใส่ลงหม้อ
เมื่อน้ำในหม้อร้อนปลาโดะโจจะดิ้นรนหนีตายจากน้ำที่เดือดนั้นโดยมุดเข้าหา ที่เย็นๆ
นั้นคือเต้าหู้โดยเริ่มจากส่วนหัวซึ่งเมื่อมุดเข้าไปจะยากออกมาได้
จนกระทั้งมันตายคาเต้าหู้ทำให้สารอาหารจากตัวปลาจะซึมเข้าไปในเนื้อเต้าหู้
จากนั้นก็ปรุงด้วยไข่และพริกไทยและต้มต่อไปจนมีกลิ่นหอม















อาหาร
ชนิดนี้ปัจจุบันมักถูกนำไปใช้เป็นข้อมูลอาหารในการ์ตูนญี่ปุ่น
ซึ่งเห็นได้ว่าวัฒนธรรมนี้มันได้กลายเป็นเรื่องปกติเสียแล้ว











6. เฟง กัน จี (Feng Gan Ji)















ฟง กัน จี (Feng Gan Ji) อาหารจากประเทศจีนและทิเบต
มีความหมายว่า 'ไก่ตาก-ลม' สิ่งที่คุณจำเป็นต้องใช้สำหรับเมนูนี้มีด้วยกันสี่อย่าง
ได้แก่ ไก่เป็นๆหนึ่งตัว มีดคมๆซักเล่ม เชฟผู้มีฝีมือและสุดท้าย
จิตใจที่ดำและเย็นชาราวกับไม่มีชีวิตที่สุด



จำฉากหนึ่งในหนังแบทแมนภาค the
Dark Knight ได้ไหม?? ฉากที่ตัวตลกเย็บระเบิดใส่ในท้องของลูกน้องตัวเอง
เมนูนี้ก็เป็นประมาณนั้นแหละ แต่ต่างกันแค่ตรงที่เชฟจะใช้เครื่องปรุง พริก
สมุนไพรหรือส่วนผสมลับอะไรก็ตามแต่ ควักไส้สดๆออกมา ยัดส่วนผสมเข้าไป
แล้วก็เย็บกลับคืน จากนั้นก็แขวนมันไว้ให้ลมพัดให้มันแห้ง
แน่นอนตอนที่ผ่าท้องไก่ยัดใส่ไก่ จะทำในขณะที่ไก่ยังเป็นๆ
ไม่ได้ฆ่าก่อนผ่าท้องแต่อย่างใด.....











ไก่จะสนุกกับการร้องกะต๊ากๆซึ่งคล้ายกับ
เสียงตะโกนสาปแช่งมาในสายลมว่า "เพื่อความรักของพระเจ้า
พวกแกทำแบบนี้กับพวกเราทำไม!?" ในวินาทีอันแสนสั้นแห่งความเจ็บปวดหลังถูกทรมาน
พวกมันดิ้นรนเพื่อที่จะดูพวกของมันถูกชำแหละตามกันมาด้วยการถูกทรมานในแบบ
เดียวกับที่มันเคยเผชิญ และเมื่อพวกมันส่งเสียงกรีดร้องครั้งสุดท้าย
สิ่งที่มันจะได้พบก็คือ ซากไส้ของมันเอง
และเพื่อนพี่น้องของมันที่กำลังถูกทรมานอย่างทารุณ........
มีใครหิวไหม?











7. เฟรช ดันคี ( Fresh
Donkey)
















อาหารอันดับหนึ่งมาจากประเทศจีน
มันอาจไม่โหดเท่ากินเนื้อคนปากัวนิกีนี แต่ เรื่องของเรื่องคือ เนื้อลา
เป็นสัตว์ที่ลงความเห็นว่ารับประทานได้ เนื้อลาเป็นที่นิยมในประเทศจีน
หาได้ทั่วไปเหมือนเนื้อหมูและเนื้อวัว และมีหลายเมนูด้วยกัน
แต่ที่เราขอแนะนำต่อไปนี้คือ Huo Jia Lu (แปลว่า "ลาสด")
อาหารที่มีต้นกำเนิดมาจากตำนานจีนที่แสนยิ่งใหญ่



อย่างที่บอกเมนูนี้เขียนว่าลาสด
แน่นอนวิธีทำก็ต้องเอาลาเป็นๆ
และจากนั้นก็มัดขาให้อยู่กับที่ไม่ให้ไปไหน(ดูภาพประกอบ)















ร่างของมันจะถูกควบคุมโดยทีมผู้ทรมานหรือ ที่เรียกกันว่า
"พ่อครัว" เขาตัดเนื้อส่วนที่นุ่มๆ
แล้วเสิร์ฟมันทันทีให้ผู้รับประทานมันท่ามกลางเสียร้องอันนโหยหวนของลา
ผู้ชำแหละจะแล่หนังของลา แล้วราดน้ำเดือดลงสู่เนื้อสดๆ จนมันสุก
แล้วเค้าก็หยิบมีดของเค้า จากนั้นก็หั่นมันทั้งอย่างนั้น


 







CREDIT :
ไทยเสียวบอร์ด

http://www.thaiseoboard.com/index.php/topic,71246.0.html

ภาพแปลกที่เข้ากันพอดีสุดยอด