ค้นหาบล็อกนี้

วันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

5 สุดยอดพิธีศพ ที่น่าขนลุก สยองขวัญมากที่สุด จากรอบโลก

อันดับ 5 สุตที เผาตัวตายบูชายัญ (Sutee Self-Immolation)





Image Hosted by CompGamer Image Host



มันคืออะไรกันละเนี่ย?



การ
เผาตัวตายบูชายัญ (หรือสุที)
คือพิธีกรรมทางศาสนาของชาวฮินดูที่สืบทอดต่อๆกันมาในประเทศอินเดีย
โดยให้หญิงม่ายที่กำลังเศร้าโศกเสียใจทำใจสามีตนเองไม่ได้มานอนนั่งลงข้างๆ
สามีของเธอในกองฟืนที่ใช้ฌาปนกิจศพชองเขา
และเธอก็จะถูกเผาทั้งเป็นเคียงข้างศพสามี.......(เผาขณะเป็นๆนี้แหละ)



สุ ตที
ถูกสืบทอดต่อๆกันมาในประเทศอินเดียต่อเนื่องมาอีกหลายศตวรรษ
จนกระทั่งพิธีนี้ถูกจัดให้เป็นเรื่องผิดกฎหมาย ในช่วงการยึดอาณานิคมของอังกฤษในปี
1829 (แต่ทุกวันนี้พิธีนี้ยังทำอยู่ ทำให้มีสั่งห้ามอีกครั้งในปี 1956
และอีกครั้งในปี 1981 แต่น้อยคนจะสนตูจะทำสักอย่าง)



ก็
อย่างที่คุณๆจินตนาการกันแหละ เมื่อไฟมันเริ่มลาม
จึงเป็นธรรมดาที่บรรดาหญิงม่ายคิดว่าสงสัยเราตัดสินใจผิดทำพิธีบ้าๆ
แบบนี้ว่าแล้วพยายามที่จะวิ่งหนีสุดชีวิต
ซึ่งการทำแบบนี้ถือเป็นสิ่งที่อัปยศเป็นอย่างยิ่ง ทำให้ผู้คนที่ยืนมุงอยู่รอบๆ
ต้องช่วยกันแทงหญิงม่ายด้วยท่อนไม้ไผ่ แล้วมัดเธอเอาไว้เพื่อให้เธอถูกเผา



มี
กรณีหนึ่งในช่วงศตวรรษที่ 18
เมื่อแม่ม่ายหนีพ้นพวกคนที่คอยแทงและดับไฟได้ที่แม่น้ำใกล้ๆ
พวกอินเดียมุงจึงจับเธอยกใหญ่แล้วจับหักขาและแขนของเธอก่อนที่จะโยนเข้ากอง
ไฟใหม่





...ทำไมถึงทำแบบนี้ละ?





Image Hosted by CompGamer Image Host



เมื่อก่อน
หญิงม่ายในอินเดียเคยถูกจัดอยู่ในฐานะที่ต่ำ แสนต่ำในชนชั้นทางสังคม
ทุกอย่างเกี่ยวกับหญิงม่ายจะถูกตัดสินว่าไม่บริสุทธิ์ ทั้งการสัมผัส เสียง
และการเข้าร่วมในทุกสิ่งทุกจนเรียกได้ว่าน่ารังเกียจ
ดังนั้งจึงมีคำถามเกี่ยวกับหญิงม่ายว่า
พวกหล่อนควรทำอย่างไรเพื่อกู้ศักดิ์ศรีกลับคืนมา และก็มีใครบางคนตอบว่า
“ทำไมเธอไม่เผาตัวเธอเองในกองไฟซะล่ะ? ว่ายังไง?”
นอกจากนี้ก็ยังมีความเชื่ออีกว่าสามีและภรรยาจะกลับมาพบกันอีกครั้งหลังจากตายไปแล้วอีก
ทำให้เกิดพิธีดังกล่าวในที่สุด



อันดับ 4
การทำตนเองให้เป็นมัมมี่ของศาสนาพุทธ (Buddhist Self Mummification)





Image Hosted by CompGamer Image Host



มันคืออะไรกันละเนี่ย?





(ใคร
ดูอินุยาฉะคงร้อง เอ๋อ)
การทำตนเองให้เป็นมัมมี่นั้นเป็นพิธีเก่าแก่ที่สืบต่อกันมานานนมในประเทศ ญี่ปุ่น
จนกระทั้งถึงช่วงปลายปี 1800 และกลายเป็นเรื่องผิดกฎหมายจนกระทั่งช่วงต้นปี
1900



มัน ง่ายไหมทำมัมมี่แบบญี่ปุ่นนี้
เออ....ไม่ง่ายนะจะบอกให้ไม่ใช้แบบว่าคุณพันๆ
ตัวเองด้วยผ้าพันแผลแล้วรอมัจจุราชมารับ เป็นอันจบ
ขอบอกเลยว่ามันไม่ง่ายอย่างนั้น



การ ทำนะตอนแรกคุณจะต้องใช้เวลากว่า 2000
วันเพื่อเตรียมพร้อมเป็นมัมมี่ โดยใช้ วิธีทำแบบพระนักบวชในศาสนาพุทธคือ
อันดับแรกคุณจะต้องเอาไขมันทั้งหมดในตัวคุณออกไปให้หมด แล้ว
ควบคุมอาหารให้กินเฉพาะพวกถั่วและเมล็ดธัญพืช
และนักบวชคนนั้นจะไม่สามารถกินอย่างอื่นนอกจากนี้ไปอีก 1000 วัน



ต่อ จากนั้น
เราต้องรีดน้ำออกจากร่างกายของคุณออกไปให้มากที่สุด
เพราะเมื่อร่างกายของคุณมีน้ำเป็นส่วนประกอบเป็นส่วนมาก มันอาจทำให้คุณอึดอัดได้
นักบวชจะกินเพียงเปลือกไม้และรากไม้จากต้นสนนิดหน่อยเท่านั้น ต่อไปอีก 1000 วัน
จากนั้นพวกเขาจะดื่มชาพิเศษ (พิเศษในที่นี้คือ “ยาพิษที่รุนแรงสุดๆจนไม่น่าเชื่อ”)
ทำจากน้ำหล่อเลี้ยงของต้นอุรุชิแล้วถ้าชาที่กินทำให้เกิดอาการท้องร่วงจน
ท้องระเบิดหรืออาเจียน แสดงว่ามันได้ผล



แล้วคุณก็จะถูกขังในห้องหินเล็กๆ
แค่ใหญ่พอที่คุณจะนั่งท่าดอกบัว เสร็จเรียบร้อยแล้ว!
ตอนนี้นั่งรอความตายได้เลย…………………..





...ทำไมถึงมีพิธีแบบนี้ละ?





Image Hosted by CompGamer Image Host



เดา.....
คงเกิดมาจากความเชื่อในศาสนาพุทธที่ต้องการตรัสรู้
โดยคุณจะต้องแยกตัวออกจากโลกแห่งวัตถุโดยสิ้นเชิง เมื่อคุณตายแล้
แทนที่จะต้องกลับมาเกิดใหม่ คุณจะเป็นหนึ่งเดียวกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
นี่อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงเก็บตัวกว่า 1000 วันในห้องหิน
เพราะผู้คนย่อมมาคอยส่องดูข้างในเพื่อดูการเปลี่ยนแปลงเป็นมัมมี่ตลอดเวลา
จะทำให้นักบวชวอกแวกได้



อันดับ 3 พิธีศพแบบท้องฟ้าของชาวพุทธธิเบต (Tibetan
Buddhist Sky Burial)





Image Hosted by CompGamer Image Host



มันคืออะไร



เป็น
พิธีศพแบบท้องฟ้าของชาวธิเบตโดยชำแหละศพที่ได้รับการสืบทอดกันจาก สิงหาสับ เออ.....
ล้อเล่น ความจริงมันมาจากทิเบตต่างหากละ ศพจะถูกตัดออกเป็นชิ้นๆ
บนเทือกเขาสูงแล้วเหลือไว้ให้นกแร้ง ชาวทิเบตเรียกพิธีกรรมที่สืบทอดต่อกันมานี้ว่า
ย่าทอร์ ซึ่งหมายถึงให้ทานแก่นก และรวมทั้งขา, ชิ้นส่วนลำตัวและหัวด้วย
ร่างของศพจะถูกห่อด้วยผ้าขาว แล้วนำไปที่จัดพิธีศพ
ที่ซึ่งพระได้ล่อให้นกแร้งและนกกินซากสัตว์อื่นๆมารอแล้ว กลุ่มพระจะช่วยกันแกะห่อศพ
ขั้นตอนนี้ไม่ค่อยน่าพิสมัยสักเท่าไรดูจากที่ศพถูกทิ้งไว้สามวันมาแล้ว
(ตามธรรมเนียมชาวธิเบต)



พระ
หนึ่งรูปหรือมากกว่านั้นจะจัดเตรียมตัดศพด้วยขวาน เมื่อเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว
อาจารย์ก็เรียกบรรดาอีแร้งที่อยู่เหนือบริเวณฝังศพขึ้นไปบนยอดเขา ให้ลงมากิน
เริ่มด้วเอามันสมอง และเลือดให้อีแร้งกินก่อนแล้วค่อยตามด้วย เนื้อที่สับไว้
เมื่ออีแร้งกินทุกอย่างหมด
แล้วญาติพี่น้องก็จะช่วยเผาสิ่งสุดท้ายที่เหลือคือเสื่อผ้าชุดที่ผู้ตายใส่
กับหนังศีรษะติดผม
แล้วทุกอย่างก็เป็นอันเสร็จสิ้นไม่ต้องมีการเก็บร่างกายของผู้ตายไว้เป็นที่
ระลึกให้ต้องทำพิธีระลึกถึงกันทุกปีเพราะเขาเชื่อว่าในขณะที่เรากำลัง
ร้องไห้เศร้าโศก อยู่หน้าหลุมฝังศพผู้ตายนั้น
เขาได้ไปจุติในร่างใหม่เรียบร้อยแล้ว





...ทำไมถึงมีพิธีแบบนี้ละ?





Image Hosted by CompGamer Image Host



ส่วนการกำเนิดของพิธีนี้ยังเป็นเรื่องลึกลับไม่มีใครรู้ประวัติว่าเริ่ม
เมื่อไร แต่เป็นพิธีกรรมทางศานาพุทธทิเบตที่สำคัญมากชาวทิเบต
ซึ่งมองศพว่าเป็นเปลือกที่ว่างเปล่าส่วนวิญญาณนั้นได้ออกจากร่างไปเกิดใหม่ แล้ว
ส่วนศพก็จะให้เป็นอาหารแก่นกแร้งนั้นเชื่อกันว่า
นกแร้งนั้นมีฐานะเทียบเท่าเทพบุตรและเทพธิดาซึ่งเทพทั้งหลายเหล่านี้
จะนำเอาวิญญาณผู้ตายไปสู่สวรรค์ นอกจากนี้การให้แร้งกินยังถือว่าเป็นการให้ทาน
เพราะการให้อาหารด้วยศพนี้ จะทำให้นกแร้งไม่ต้องไปจับสัตว์เล็ก ๆ
เป็นอาหารไปได้หลายมื้อ ทำให้ช่วยสัตว์เล็ก ๆ
ไวได้หลายชีวิตด้วยนะเหอๆ



อันดับ 2 ตากศพให้แห้งแบบอบอริจิน (Aboriginal
Body Exposure)





Image Hosted by CompGamer Image Host



มันคืออะไร



เป็นพิธีศพของชาวเผ่าออสเตรเลีย
ชนเผ่าอะบอริจิน แต่หลายฝ่ายบอกว่าไม่จริงๆๆๆๆ ไม่มีพิธีแบบนี้นะ
ไม่มีหลักฐานนี้หว่า



อย่าง ไรก็ตามดูๆ ไปจะเหมือนพิธีศาสนาธรรมดามากกว่า
ในทิศเหนือโดยเฉพาะ โดยมีสองขั้นคือพิธีก็ทำศพให้แห้งตังหาก
เอาใบไม้กับพุ่มไม้มาทับ ให้ศพแห้งแบบแต้ดแต๋ แล้วก็เอากระะดูกออกจากศพแห้งแล้ว
มาทาสีแดง แล้วก็เอาศพมาแห่จากนั้นก็เอาไปใส่ไว้ในถ้ำ
จนกลายเป็นฝุ่นไปเองไม่ก็เอาไปใส่หลุม
นอกจากนี้มีรายงานว่ามีการกินศพด้วย.................กินศพญาติพี่น้องครับ ท่าน
กินเนื้อ กินน้ำหนองของศพที่ตายแล้ว
โอยท่าจะอร่อย





...ทำไมถึงมีพิธีแบบนี้ละ?





Image Hosted by CompGamer Image Host



เป็นความเชื่อของคนถิ่นเดิมและวัฒนธรรมที่ของเขา



อันดับ
1 ส่งศพท่องอวกาศ (Space Burial)





Image Hosted by CompGamer Image Host



มันคืออะไร



กวน
จริงๆ สำหรับพิธีศพอันดับหนึ่งมันสยองตรงไหนนี้
กับพิธีฝังศพที่สมัยใหม่ที่สมัยใหม่อย่างตรงไปตรงอย่างยิ่ง
คือการส่งอัฐิไปลอยเหนือบรรยากาศโลก หรือ Space Funeral
ซึ่งพิธีนี้เป็นความคิดของบริษัทจัดการศพ บาเตสวิลล์ คาสเก็ต
ซึ่งใหญ่ที่สุดในอเมริกา ออกไอเดียที่จะให้คนรวยแต่ไม่มีบุญที่อยากไปอวกาศ ไหนๆ
ก็ไปตอนมีชิวิตไม่ได้ก็ขอไปตอนตายก็ได้ฟ่ะ



ใช่!!
คุณสามารถทำพิธีฝังศพด้วยตัวเองของคุณ เว็บนี้เลยครับ http://
www.memorialspaceflights.com
ราคาก็ขึ้นอยู่กับต้องวิธีการส่งและระยะทางที่จะไปไกลขนาดไหน โดยราคาขั้นต่ำอยู่ที่
695$ เท่านั้นเอง(ล่าสุดมีลูกค้าใช้เงินกว่า 60,000 $
เพื่อไปดวงจันทร์!!



เมื่อวันเสาร์ (28 เม.ย.)
ได้ปล่อยจรวดที่เต็มไปด้วยอัฐิมนุษย์กว่า 200 คนขึ้นสู่ห้วงอวกาศ ซึ่ง
ในจำนวนนี้รวมถึงอัฐิของ เจมส์ ดูแฮน ดาราระดับตำนานที่รับบทเป็น มอนโกเมอรี
สก็อตต์ หรือ สก็อตตี้
หัวหน้าวิศวกรแห่งยานเอ็นเตอร์ไพรส์ในซีรีย์หนังอวกาศสุดอมตะเรื่อง สตาร์ เทร็ค
และนายกอร์ดอน คูเปอร์ อดีตนักบินอวกาศของยานเมอร์คิวรี
ซึ่งเป็นยานอวกาศบรรทุกมนุษย์รุ่นบุกเบิกขององค์การบริหารการบินและอวกาศ สหรัฐ
(นาซา)



รายงานระบุ ครอบครัวและเพื่อนฝูง รวมถึงสาวกของซีรีย์เรื่องสตาร์
เทร็คกว่า 500 คน
ได้ไปรวมตัวกันที่ทะเลทรายอันห่างไกลในรัฐนิวเม็กซิโกที่ใช้เป็นสถานที่ ปล่อยจรวด
ซึ่งบรรยากาศเต็มไปด้วยน้ำตา และรอยยิ้มของแฟนๆ ที่ทั้งอาลัย
และยินดีได้ส่งอัฐิของดาราผู้เป็นที่รักขึ้นอวกาศเสียที
หลังจากที่ต้องเลื่อนมาหลายครั้งนับแต่เสียชีวิตเมื่อปี 2548
โดยผู้ที่ต้องการส่งอัฐิขึ้นไปโคจรในอวกาศจะต้องเสียค่าใช้จ่ายคนละ 495
ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 17,000
บาท)ไม่แพงใช่ไหมละ





...ทำไมถึงมีพิธีแบบนี้ละ?





Image Hosted by CompGamer Image Host





ง่ายๆ
มันเป็นเรื่องของธุรกิจ ความฝัน
และเป็นเรื่องของคนรวยแบบคิดว่าไปสูงยิ่งขึ้นสวรรค์.................



เครดิต
: cammy

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น